
เด็กไทยในวิกฤตที่ซ่อนเร้น: เมื่อ “คำสาป” ความยากจนและความเหลื่อมล้ำกลายเป็นอุปสรรคสู่อนาคต
จากรายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชนไทยที่เผยในปี 2567 เปิดเผยภาพสะท้อนที่น่าวิตกใจ เมื่อเด็กและเยาวชนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับ “คำสาป” แห่งความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลต่อโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและเทคโนโลยี ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตระยะยาวของสังคมไทย
ภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
ดร.แบ๊งค์ งามอรุณโชติ จากสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) ชี้ให้เห็นว่า “สถานการณ์เด็กปีนี้ทำให้เราเห็นภาพสะท้อนขึ้นมา” โดยเน้นย้ำปัญหาสำคัญ 3 ประการที่เด็กไทยกำลังเผชิญ ได้แก่ หนี้สินครัวเรือนที่สูง การเข้าถึงเทคโนโลยีที่ไม่เท่าเทียม และการจ้างงานแบบไม่เป็นทางการที่เด็กต้องทำแม้ขณะเรียน
“เด็กแม้แต่ตอนเรียนก็ยังต้องทำงานอินฟอร์มอล เวิร์ก เวิร์กกิ้งอยู่เลย” ดร.แบ๊งค์กล่าว โดยชี้ว่าสถานการณ์นี้จะปรับเปลี่ยนไปจากปัจจุบันไม่มากหากไม่มีมาตรการที่ดีเพียงพอมาช่วยพลิกเกมสถานการณ์
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าผู้ประกอบการไทยมีกิจกรรมด้านนวัตกรรมกระบวนการ (process innovation) เพียง 11.9% เมื่อเทียบกับเวียดนาม 38% และมาเลเซีย 37% ขณะที่นวัตกรรมเชิงสินค้าของไทยอยู่ที่ 8.2% เทียบกับเวียดนาม 23%
“หมายความว่าผู้ประกอบการของเรายังมีกิจกรรมด้านนวัตกรรมเชิงกระบวนการไม่มากนัก” ดร.แบ๊งค์อธิบาย ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าของภาคผู้ประกอบการในด้านนวัตกรรมที่ยังจำกัด
ไตรภูมิของการศึกษาไทย
รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างการศึกษาไทยผ่านแนวคิด “ไตรภูมิของการศึกษา” โดยแบ่งเด็กไทยออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มบนยอดพีระมิด กลุ่มกลาง และกลุ่มล่างที่อยู่ใน “ขุมนรก”
“เด็กในขุมนรกเหล่านี้ หนึ่ง เลือกไม่ได้ก็คือต้องอยู่ใกล้บ้าน ถ้าใครเลือกได้ก็ไปเรียนไกลบ้าง บางคนนั่งรถตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อจะนั่งรถข้ามอำเภอไปเรียนในโรงเรียนในตัวเมือง”
อาจารย์ภิญญพันธุ์ชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักอยู่ที่ 3 องค์ประกอบ คือ ครอบครัว โรงเรียน และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งล้วนมีปัญหาสำหรับเด็กกลุ่มดังกล่าว
เด็กกลุ่มบนจะได้รับการศึกษาที่พร้อมทรัพยากร มีโอกาสเรียนทักษะพิเศษต่างๆ และมีประสบการณ์ท่องเที่ยวต่างประเทศ ขณะที่เด็กในชนบทจะขาดโอกาสเหล่านี้และต้องพึ่งพาโทรศัพท์มือถือเป็นพื้นที่เดียวของพวกเขา
ผลกระทบจากโควิดและโลกดิจิทัล
การระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้ปัญหาเหล่านี้รุนแรงขึ้น อาจารย์ภิญญพันธุ์อธิบายว่า “โควิดทำให้เด็กเข้าสู่มือถือได้เร็วมากขขึ้น เร็วกว่าที่เราคิด” เด็กจึงเติบโตมาในสภาพที่ต้องเรียนออนไลน์และคุ้นเคยกับโลกโซเชียลจนแยกไม่ออกกับความเป็นจริง
ปัญหาตามมาคือการติดการพนัน การใช้บุหรี่ไฟฟ้า และอบายมุขออนไลน์ต่างๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น “พื้นที่ออนไลน์มันกลายเป็นพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ของเด็กที่เนื่องมาจากครอบครัวก็ไม่มีเวลาให้ด้วย”
เยาวชนกับการเมือง: จากการเคลื่อนไหวสู่ความเฉยเมย
ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับทัศนคติของเยาวชนต่อการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนจากการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาโดยชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่น่าวิตกมากกว่าการไม่มีความรู้ คือการที่เยาวชนเลือกที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดเลย
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า
“เด็กปัจจุบันอยู่เป็นมากกว่า คุณยังเข้าไม่ถึงโลกของเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสนใจ แต่บางคนก็มีความสนใจ ด้วยเงื่อนไขของเขา” โดยหมายถึงเยาวชนปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะมีสถานะเป็น “ผู้สังเกตการณ์” หรือดำรงอยู่ในสถานะที่ไม่แสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน แทนที่จะมีความเชื่อมั่นหรือจุดยืนที่แน่วแน่เหมือนในอดีต
อาจารย์พิชญ์ยังชี้ให้เห็นว่าปัญหาสำคัญคือ การขาดแคลนชุมชนและการรวมตัวแบบเป็นธรรมชาติที่เคยเป็นพื้นฐานสำคัญของการเคลื่อนไหวทางสังคมในอดีต โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยปี 2563 ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ระบบราชการในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยยังไม่เปิดพื้นที่ให้การมีส่วนร่วมดังกล่าวเท่าที่ควร
ทางออกสู่การแก้ไขปัญหา
มาตรการทางเศรษฐกิจ
ดร.แบ๊งค์เสนอแนวทางการแก้ไขผ่าน 7 มาตรการหลัก โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านจาก “Bad Job Economy” สู่ “Good Job Economy” ผ่านการส่งเสริมนวัตกรรมและการจ้างงานที่เป็นทางการ
มาตรการสำคัญๆ ได้แก่:
1. Negative Income Tax หรือการโอนเงินแก้จนสำหรับคนที่ทำงานหนักแต่ยังมีรายได้น้อย
2. การปรับสมรรถนะแรงงาน แบบฐานกว้างและเฉพาะด้าน
3. เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้แรงงานทักษะสูงได้
4. การส่งเสริมเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกับแรงงาน (Labor Complementing Technology)
“การเทรนแรงงานก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ากระบวนการผลิตไม่มีนวัตกรรม ทักษะที่ได้มาใหม่จะไม่นำไปสู่งานที่ดีขึ้น หรือไม่ได้นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ดร.แบ๊งค์เน้นย้ำ
การปฏิรูปการศึกษา
อาจารย์ภิญญพันธุ์เสนอแนวทางปฏิรูปที่เน้นการกระจายอำนาจ:
1. การกระจายอำนาจโรงเรียน ให้อยู่ภายใต้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ
2. การจำกัดโควตาการผลิตครู เพื่อเพิ่มคุณภาพและการแข่งขัน
3. การจัดตั้งสหภาพแรงงานการศึกษา เพื่อให้ครูมีอำนาจต่อรองกับรัฐ
4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ห้องสมุดเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และหอจดหมายเหตุจังหวัด
“ศูนย์เด็กเล็กคือกลไกที่ช่วยพ่อแม่เลี้ยงลูก มากกว่าการที่โยนให้ปู่ย่าตายาย” อาจารย์ภิญญพันธุ์กล่าว โดยเน้นว่าศูนย์เหล่านี้ควรเป็นโค้ชให้พ่อแม่ด้วย
มุมมองสู่อนาคต
การแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนไทยต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องครอบคลุมถึงระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
อาจารย์พิชญ์เน้นว่า “การแก้เรื่องเด็กอย่างเดียวไม่พอเลย เพราะเราไปแก้เรื่องสุขภาวะ แก้เรื่องที่อยู่อาศัย ถ้า Stable Food มันไม่ดี มันก็แก้ไม่ได้”
ประเทศไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนได้ อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่เด็กไทยต้องออกไปเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศที่พัฒนาแล้ว
การลงทุนในเด็กและเยาวชนวันนี้จึงเป็นการลงทุนในอนาคตของประเทศ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างสังคมที่เด็กทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เทคโนโลยี และงานที่มีคุณค่า เพื่อให้เด็กไทยสามารถหลุดพ้นจาก “คำสาป” ของความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้ในที่สุด
บทความนี้สรุปจากการเสวนาเรื่อง “ทำความเข้าใจสถานการณ์ของเด็ก เยาวชน และครอบครัวที่มิอาจพัฒนา ปรับตัวรับมือ และเติมเต็มความฝันในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเสวนาสาธารณะ ‘ถูกสาปให้พ่ายแพ้ในกระแสความเปลี่ยนแปลง: รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2025’ จัดโดย คิด for คิดส์ – ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth กับ 101 PUB เมื่อวันอังคาร 17 มิถุนายน 2025, 8:30-16:30 น. ณ ห้อง 201 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ (สสส.)