“พระธาตุโมเดล” หนึ่งในพื้นที่ต้นแบบของการนำแนวคิด “ชุมชนนำ” ในแบบ “ครอบครัวยิ้ม” มาทำให้เห็นจริง

             ในยุคที่การพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ ตำบลพระธาตุ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ได้พัฒนาแนวทางการทำงานตามแนวคิด “ชุมชนนำ” ในการเลี้ยงดูเด็ก โดยยึดหลักที่ว่า เลี้ยงเด็กหนึ่งคนต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเปลี่ยนแปลงในวิธีการดูแลเด็กของชุมชนเท่านั้น แต่ยังปฏิวัติวิธีการเก็บและใช้ข้อมูลเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ

 

             หัวใจสำคัญของความสำเร็จ: ข้อมูลที่มีชีวิต

             หัวใจสำคัญของ พระธาตุโมเดล คือการมีข้อมูลที่ครอบคลุมและมีชีวิตเกี่ยวกับเด็กทุกคนในชุมชน คำว่า “มีชีวิต” ในที่นี้หมายถึงข้อมูลที่ไม่ใช่เพียงตัวเลขหรือสถิติแห้งๆ แต่เป็นข้อมูลที่สะท้อนความเป็นจริงของชีวิตเด็กและครอบครัวในชุมชน ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากวิธีการที่ชุมชนออกแบบและดำเนินการเอง แทนที่จะใช้แบบฟอร์มมาตรฐานที่อาจไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น

             ทีมงานในพื้นที่ได้พัฒนาวิธีการเก็บข้อมูลที่เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ ผ่านการเยี่ยมบ้าน การพูดคุยกับเพื่อนบ้าน และการใช้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้วในชุมชน วิธีการนี้ไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างทีมงานกับครอบครัวในชุมชน

             การเยี่ยมบ้าน: มากกว่าการเก็บข้อมูล

             การเยี่ยมบ้านในรูปแบบ  พระธาตุโมเดล  ไม่ใช่เพียงการเดินเข้าบ้านเพื่อกรอกแบบฟอร์ม แต่เป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ ทีมเยี่ยมบ้านมักจะนำของฝากเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไข่ไก่หรือหนังสือนิทานไปด้วย สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่มีความหมายมากสำหรับครอบครัวที่ได้รับการเยี่ยม เพราะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความจริงใจของทีมงาน

             นอกจากนี้ ทีมเยี่ยมบ้านยังได้รับการอบรมทักษะการสื่อสารเชิงบวก ทำให้สามารถสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพูดคุยจึงไม่ใช่การซักถามแบบเป็นทางการ แต่เป็นการสนทนาที่เป็นธรรมชาติ ทำให้ครอบครัวรู้สึกสบายใจที่จะแบ่งปันข้อมูลและความกังวลต่างๆ

             ข้อมูลที่ครอบคลุมรอบด้าน

             ข้อมูลที่ได้จากการเยี่ยมบ้านนั้นครอบคลุมหลายด้านของชีวิตเด็กและครอบครัว ได้แก่:

  • สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว: รวมถึงลักษณะที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อมรอบบ้าน และความปลอดภัยของเด็ก
  • อาชีพและรายได้ของผู้ปกครอง: ข้อมูลนี้ช่วยให้เข้าใจสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก
  • สุขภาพและพัฒนาการของเด็ก: รวมถึงการเจริญเติบโตทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ และสังคม
  • ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว: ดูว่าใครเป็นผู้ดูแลหลักของเด็ก และลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว
  • การใช้เวลาของเด็ก: รวมถึงกิจกรรมที่เด็กทำในแต่ละวัน เวลาที่ใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • การเข้าถึงบริการของรัฐ: ดูว่าครอบครัวได้รับสวัสดิการหรือความช่วยเหลือจากรัฐอย่างไรบ้าง
  • ความต้องการพิเศษ: หากเด็กมีความต้องการพิเศษ เช่น มีความพิการหรือปัญหาการเรียนรู้

             ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกเก็บไว้เฉยๆ แต่ถูกนำมาวิเคราะห์และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่โดยทีมงานทั้ง 3 ระดับของโครงการ

             การทำงานแบบ 3 ทีม 3 ระดับ: กลไกสำคัญของความสำเร็จ

             ความสำเร็จของ “พระธาตุโมเดล” เกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบของทีมงาน 3 ระดับ ได้แก่ ทีมนโยบาย ทีมสนับสนุน (Core Team) และทีมปฏิบัติการ แต่ละทีมมีบทบาทและหน้าที่เฉพาะ แต่ทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด ทำให้การดูแลเด็กในชุมชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม

  1. ทีมนโยบาย

             ทีมนโยบายประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของท้องถิ่น เช่น นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง บทบาทหลักของทีมนี้คือ:

             – กำหนดทิศทางและเป้าหมายในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของตำบล

             – จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมอื่นๆ

             – ออกนโยบายและข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็ก

             – ประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม

             ตัวอย่างความสำเร็จของทีมนโยบาย คือ การออกหนังสือคำสั่งอย่างเป็นทางการให้กับทีมงาน ซึ่งเปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ที่ช่วยให้การทำงานของทีมปฏิบัติการในพื้นที่เป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

  1. ทีมสนับสนุน (Core Team)

             ทีมสนับสนุนหรือ Core Team เป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างทีมนโยบายและทีมปฏิบัติการ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ในระดับตำบลและจังหวัด เช่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข นักพัฒนาชุมชน ครู และนักวิชาการจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) บทบาทของทีมนี้ได้แก่:

             – วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากทีมปฏิบัติการ

             – แบ่งกลุ่มเด็กตามระดับความต้องการการช่วยเหลือเป็นสีเขียว เหลือง และแดง

             – วางแผนการช่วยเหลือเด็กและครอบครัวแบบรายกรณี

             – ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางวิชาการแก่ทีมปฏิบัติการ

             – ประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่เกินความสามารถของชุมชน

             ความสำเร็จของทีมสนับสนุนสะท้อนให้เห็นจากการพัฒนาเกณฑ์ในการแบ่งกลุ่มเด็กที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน ตัวอย่างเช่น การกำหนดให้การใช้โทรศัพท์มือถือเกินสองชั่วโมงต่อวัน หรือการมีแม่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นเกณฑ์ที่ทำให้เด็กถูกจัดอยู่ในกลุ่มสีแดงที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน เกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกกำหนดจากส่วนกลาง แต่เกิดจากการพิจารณาร่วมกันของชุมชนว่าอะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กในบริบทของพวกเขา

  1. ทีมปฏิบัติการ

             ทีมปฏิบัติการหรือทีมกลไกชุมชน เป็นกำลังสำคัญในการทำงานภาคสนาม ประกอบด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ผู้นำชุมชน และอาสาสมัครจากชุมชน บทบาทของทีมนี้ได้แก่:

             – เยี่ยมบ้านเพื่อเก็บข้อมูลเด็กและครอบครัว

             – สร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับครอบครัวในชุมชน

             – ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่เด็กและครอบครัวตามแผนที่วางไว้

             – ติดตามพัฒนาการของเด็กและรายงานความก้าวหน้าให้ทีมสนับสนุน

             – จัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กในชุมชน

             ความสำเร็จของทีมปฏิบัติการเห็นได้ชัดจากประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลและการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของโครงการ “ครอบครัวยิ้มใหญ่”

             ประสบการณ์จาก อสม.: หัวใจของการทำงานภาคสนาม

             อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกำลังสำคัญของทีมปฏิบัติการ ประสบการณ์ของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จและความท้าทายในการทำงานภาคสนาม ต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าจาก อสม. ที่ทำงานในโครงการ:

             ตัวแทน อสม. คนที่หนึ่งเล่าว่า “ตอนแรกที่เริ่มทำงานนี้ ก็รู้สึกกังวลว่าจะทำได้ไหม เพราะต้องเข้าไปคุยกับครอบครัวเรื่องส่วนตัว แต่พอได้รับการอบรมและลงพื้นที่จริง ก็พบว่าไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเราเป็นคนในชุมชนเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน เข้าใจวิถีชีวิตของกันและกัน”

             เธอเล่าถึงวิธีการทำงานว่า “เวลาเยี่ยมบ้าน เราไม่ได้ไปแบบทางการ แต่ไปแบบเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเยียน เราพกของฝากไปด้วย บางทีก็เป็นไข่ไก่ บางทีก็เป็นผักที่ปลูกเอง พอเข้าไปก็คุยเรื่องทั่วไปก่อน ถามสารทุกข์สุกดิบ แล้วค่อยๆ สอดแทรกคำถามเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว”

             “สิ่งสำคัญคือต้องสร้างความไว้วางใจ” ตัวแทน อสม. คนที่หนึ่งกล่าว “เราต้องทำให้เขารู้สึกว่าเรามาช่วย ไม่ได้มาจับผิดหรือตำหนิ บางครั้งเราก็แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกของตัวเองด้วย ทำให้เขารู้สึกว่าเราเข้าใจปัญหาของเขา”

             ตัวแทน อสม. คนที่สองเล่าถึงความท้าทายในการทำงาน “บางครั้งเราเจอครอบครัวที่มีปัญหาซับซ้อน เช่น พ่อแม่แยกทาง เด็กอยู่กับปู่ย่าตายาย หรือครอบครัวที่มีปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง ตอนแรกก็รู้สึกท้อ ไม่รู้จะช่วยยังไง แต่พอได้ปรึกษากับทีมสนับสนุน ก็ได้แนวทางในการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น”

             ตัวแทน อสม. คนที่สองยังเล่าถึงความภาคภูมิใจในการทำงานว่า “มีครั้งหนึ่งเราพบเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า พูดไม่ชัด เราก็ช่วยแนะนำวิธีการกระตุ้นพัฒนาการให้ผู้ปกครอง และประสานงานให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล พอติดตามไปสักพัก เห็นเด็กมีพัฒนาการดีขึ้น พูดชัดขึ้น ก็รู้สึกดีใจมาก”

 

             การพัฒนาและความท้าทายในอนาคต

             แม้ว่า “พระธาตุโมเดล” จะประสบความสำเร็จในหลายด้าน แต่ก็ยังมีความท้าทายและแผนการพัฒนาในอนาคต ดังนี้:

             1. การขยายกลุ่มเป้าหมาย: เนื่องจากเด็กในชุมชนเริ่มโตขึ้น ทีมงานจึงต้องพัฒนาความรู้และทักษะในการดูแลเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับสภาเด็กและเยาวชน
             2. การพัฒนาศักยภาพทีมงาน: มีแผนการอบรมทีมงานให้สามารถเขียนโครงการเพื่อขอทุนในพื้นที่ได้ด้วยตนเอง และพัฒนาทักษะการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น
              3. การพัฒนาทักษะการสื่อสาร: เพื่อให้ทีมงานสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้ที่สนใจมาศึกษาดูงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
              4. การติดตามและแก้ไขปัญหาเฉพาะด้าน: เช่น การติดมือถือของเด็ก การจัดการอารมณ์ การออกจากโรงเรียนกลางคัน ครอบครัวหย่าร้าง ความยากจน ครอบครัวแหว่งกลาง และเด็กพิการ
              5. การสร้างศูนย์เรียนรู้ในชุมชน: มีแผนที่จะพัฒนาบ้านสักหลังในชุมชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้สำหรับเด็กและครอบครัว

             การขยายผลสู่พื้นที่อื่น

             ความสำเร็จของ  พระธาตุโมเดล ได้รับความสนใจจากพื้นที่อื่นๆ ในจังหวัดมหาสารคาม มีการเชิญ 15 เทศบาลมาร่วมพูดคุยถึงการขยายแนวคิด “ชุมชนนำ” ไปใช้ในพื้นที่ของตน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดให้การสนับสนุน

             อย่างไรก็ตาม การขยายผลจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเลือกทำงานกับตำบลที่มีความพร้อมและมีต้นทุนทางสังคมที่เข้มแข็งก่อน แทนที่จะขยายไปพร้อมกันทั้งหมด วิธีการนี้จะช่วยให้การขยายผลเป็นไปอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

 

             บทสรุป

             พระธาตุโมเดล ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างของการดูแลเด็กที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนที่สามารถร่วมกันออกแบบและดำเนินการแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยมีข้อมูลเป็นฐานในการตัดสินใจและวางแผน

             ความสำเร็จของโมเดลนี้เกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งของทีมงานทั้ง 3 ระดับ การมีส่วนร่วมของชุมชน และการสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่น ที่สำคัญคือการให้ความสำคัญกับการเก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้การช่วยเหลือเด็กและครอบครัวเป็นไปอย่างตรงจุดและทันท่วงที

             แม้จะมีความท้าทายในอนาคต แต่ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของทีมงาน “พระธาตุโมเดล” มีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อยอดและขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเด็กและครอบครัวในวงกว้างต่อไป

 

เรียบเรียงจากการประชุมในเวทีบูรณาการภารกิจเด็ก เยาวชนและครอบครัวระดับจังหวัด เมื่อวันที่ 21-22 สิงหาคม 2567

ดำเนินการโดย โครงการติดตามและสนับสนุนภาคี เครือข่ายเพื่อการขับเคลื่อนงานสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัวในระดับพื้นที่

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ