สร้างพื้นที่เล่น สร้างพลังชุมชน: ถอดบทเรียนจากโรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้

 

  • พื้นที่เล่นใกล้บ้านคือกุญแจสำคัญในการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน
  • การสร้างพื้นที่เล่นที่ยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในชุมชน
  • โรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้ เป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่าการสร้างพื้นที่เล่นสามารถเริ่มต้นได้จากความเรียบง่าย
  • ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่ยังสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน

             เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังกังวานไปทั่วลานกว้าง ขณะที่เหล่าผู้ปกครองนั่งล้อมวงพูดคุยกันอย่างสบายใจใต้ร่มไม้ใหญ่ นี่คือภาพที่เกิดขึ้นที่ โรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้ บ้านสันโค้ง หมู่ 12 ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ในงานเทศกาลเล่นได้ ภายใต้แนวคิด “พลังเล่น พลังชุมชน” โดยมีผู้เข้าร่วมทุกวัยกว่า 500 คน ทั้งผู้ปกครอง เด็ก และเหล่าอาสาสมัครที่มาร่วมเตรียมงานล่วงหน้าหนึ่งเดือน

             ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น การสร้างพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับเด็กๆ กลายเป็นความท้าทายสำคัญแต่มักถูกมองข้าม โรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้ ถือเป็นต้นแบบที่น่าสนใจในการแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการสร้างพื้นที่ที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

             จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

             “การเล่นควรเริ่มต้นที่บ้าน แต่บริบทและวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป สังคมส่วนใหญ่ยังมองว่าการเล่นเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับค่านิยมที่มองกันคนละมุม” วีรวัฒน์ กังวานนวกุล ผู้อำนวยการโรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้กล่าว

             โรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้เชียงราย ได้ทำงานด้านการส่งเสริมการเล่นของเด็กมายาวนานกว่า 20 ปี โดยเป็นหนึ่งในหน่วยงานบุกเบิกที่ริเริ่มงานด้านนี้อย่างจริงจัง การทำงานของโรงเล่นฯ มีจุดเด่นที่การผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับแนวคิดการเรียนรู้ผ่านการเล่น สร้างสรรค์กิจกรรมที่ไม่เพียงสนุกสนาน แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะรอบด้านของเด็ก รวมทั้งเน้นการมีส่วนร่วมในการทำงาน โดยเฉพาะขั้นตอนของการเตรียมงานเทศกาลครั้งนี้ มีอาสาสมัครจากหลายจังหวัดมาร่วมช่วยกันทำให้งานประสบความสำเร็จได้ โดยแต่ละคนก็ได้เรียนรู้รูปแบบ แนวทางและวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่เล่นสำหรับชุมชน ซึ่งนำไปต่อยอดในการกลับไปทำงานในพื้นที่ของตนเองได้ด้วย เท่ากับเป็นการขยายแนวคิดของการสร้างพื้นที่เล่นใกล้บ้านให้ติดตัวไปกับคนทุกคน

             พลังชุมชน: กุญแจสู่ความสำเร็จ

             ความโดดเด่นของโรงเล่นฯ ไม่ได้อยู่ที่การเป็นเพียงสถานที่เล่นสำหรับเด็ก แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยั่งยืน โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในชุมชน  สมพงษ์ อินต๊ะชัยวงค์ กำนันตำบลป่าแดด เล่าถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาพื้นที่เล่นแบบครบวงจรว่า

             “เราวางแผนจัดกิจกรรมเดือนละครั้ง โดยให้ศูนย์เด็กเล็กทั้ง 6 แห่งในตำบลหมุนเวียนกันมาเป็นพี่เลี้ยง นำเด็กและผู้ปกครองมาร่วมกิจกรรม” กำนันกล่าว “นอกจากนี้ เรายังส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การจัดตลาดชุมชนที่ผู้ปกครองสามารถซื้ออาหารการกินที่มีคุณภาพ โดยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเข้ามาให้ความรู้ด้านโภชนาการ”

             ที่น่าสนใจคือการวางแผนจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการขยะที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ “เราตั้งเป้าให้เป็นพื้นที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตอง แทนภาชนะพลาสติก และวางแผนจัดตั้งกองทุนขยะเพื่อสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืน” กำนันอธิบายเพิ่มเติม

             พื้นที่เล่นต้องใกล้บ้าน ปลอดภัย ไม่มีค่าใช้จ่าย: เสียงสะท้อนจากผู้ปกครอง

             การมีพื้นที่เล่นใกล้บ้านส่งผลเชิงบวกต่อทั้งเด็กและครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด  อนุสรา ดวงนิต คุณแม่วัย 37 ปี ที่พาลูกทั้งสองคนมาเล่นที่โรงเล่นเป็นประจำ เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลูก โดยเฉพาะลูกคนเล็กที่แต่เดิมมีปัญหาด้านการเข้าสังคม

             “ก่อนหน้านี้ลูกไม่กล้าพูดคุยกับใคร พอเจอคนแปลกหน้าก็จะร้องไห้ แต่การได้มาเล่นที่นี่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เขาเปิดใจมากขึ้น ตอนนี้สามารถยิ้มทักทายผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ” คุณอนุสราเล่าเสริมถึงการมีพื้นที่ให้ลูกเล่นใกล้บ้านว่า “พาลูกมาเล่นที่นี่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพราะบ้านอยู่ไม่ไกล ถ้าไม่มีที่นี่ เราก็ต้องพาไปเล่นตามร้านกาแฟที่มีมุมเด็กเล่น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและไม่ใช่ทุกครอบครัวจะมีกำลังพอ”

             จุฑามาศ พิณสาร อีกหนึ่งคุณแม่ที่พาลูกชายวัย 6 ขวบมาเล่นเป็นประจำ เล่าว่า “ลูกชอบมาที่นี่มาก เพราะมีของเล่นที่ไม่ต้องขึ้นจอ ถ้ารู้ว่าโรงเล่นเปิดวันไหน เขาจะปลุกแม่แต่เช้าให้รีบพามาเลย” เธอยังสังเกตเห็นพัฒนาการด้านสมาธิของลูกที่ดีขึ้น “เวลาเขาจดจ่อจะทำอะไร เขาจะตั้งใจทำให้เสร็จ ไม่วอกแวกไปที่อื่น”

             การขยายผลสู่ชุมชนอื่น: มุมมองจาก สสส.

             ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มองว่าแม้โรงเล่นจะเป็นต้นแบบที่ดี แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการกระจายแนวคิดนี้ให้เข้าถึงชุมชนทั่วประเทศ

             “เราต้องเข้าใจว่าเด็กเล็กไม่ควรต้องเดินทางไกลเพื่อไปเล่น ทุกชุมชนควรมีพื้นที่เล่นของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใหญ่โตหรือซับซ้อน” คุณณัฐยากล่าว “สิ่งสำคัญคือการหาพื้นที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นลานวัด ลานหน้าที่ทำการ อบต. หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ที่ชุมชนเห็นว่าเหมาะสม”

             สสส. ในฐานะหน่วยงานสนับสนุน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถอดบทเรียนและเผยแพร่องค์ความรู้ “เราไม่ได้เป็นหน่วยงานใหญ่ระดับกระทรวง แต่เรามีความคล่องตัวในการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เราจึงมุ่งเน้นการสร้างต้นแบบที่ดี ถอดบทเรียน และเผยแพร่ความรู้ให้ชุมชนอื่นๆ นำไปปรับใช้”

             ก้าวต่อไป: จากความท้าทายสู่โอกาสทองของชุมชน

             การพัฒนาพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยใกล้บ้านอาจดูเป็นเรื่องท้าทาย แต่ประสบการณ์จากโรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้แสดงให้เห็นว่า เราสามารถเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็กๆ ดังที่คุณวีรวัฒน์กล่าวว่า

             “โมเดลของเราเริ่มจากความเรียบง่าย อาจเริ่มจากการรวมตัวของ 3-4 ครอบครัว มานั่งทำของเล่นจากกระดาษ ทำขนม ทำอาหารร่วมกัน เป็นกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้คนมาก ไม่ต้องลงทุนสูง แต่สร้างคุณค่าได้มหาศาล” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบโดมิโน ที่ผู้คนในชุมชนไม่เพียงเป็นผู้เล่นหรือผู้ร่วมกิจกรรม แต่ลุกขึ้นมาเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง”

             มองไปข้างหน้า: ความท้าทายและโอกาส

             แม้การสร้างพื้นที่เล่นจะเผชิญความท้าทายหลายประการ ทั้งข้อจำกัดด้านพื้นที่ งบประมาณ และการสร้างความเข้าใจกับผู้คนในชุมชน คุณณัฐยาจาก สสส. มองว่านี่คือโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

             “เด็กคือรากฐานของสังคม การลงทุนในพื้นที่เล่นไม่ใช่แค่การสร้างสถานที่ แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของประเทศ” เธอกล่าว “เมื่อเด็กได้เล่น ได้เรียนรู้ และเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พวกเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และพร้อมจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมต่อไป”

             โรงเล่นพิพิธภัณฑ์เล่นได้ จึงไม่เพียงเป็นพื้นที่เล่นสำหรับเด็ก แต่ยังเป็นต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่าการสร้างพื้นที่เล่นที่มีคุณภาพสามารถเกิดขึ้นได้จริงด้วยความร่วมมือของชุมชน การเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่ด้วยพลังของชุมชนและการสนับสนุนจากภาคีเครือข่าย เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเด็กได้อย่างยั่งยืน

             ดังที่คุณณัฐยากล่าวทิ้งท้ายว่า “เด็กใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านและในชุมชนรอบๆ บ้าน พลังของครอบครัวและชุมชนจึงเป็นพื้นที่สำคัญที่จะช่วยพัฒนาเด็กทุกด้านให้ค่อยๆ เจริญเติบโตอย่างมีสุขภาวะ ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหมดนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เอื้อให้เด็กได้เรียนรู้และเติบโตอย่างมีความสุข”

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ระบุข้อความ