เชียงดาว เมืองแห่งการเรียนรู้: ต้นแบบการศึกษานอกห้องเรียนที่เติบโตจากรากหญ้า

             โครงการที่เปลี่ยนทั้งอำเภอให้กลายเป็นห้องเรียนธรรมชาติ คว้ารางวัลจาก TK Park ด้วยแนวคิดการเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับระบบการศึกษา

                “เราอยากให้เด็กในพื้นที่ได้เรียนรู้อะไรที่มีความสุข มีประโยชน์ และอยากเห็นคนในชุมชนสามารถออกแบบชีวิตของตัวเองได้”ประกายดาว คันธะวงศ์ หัวหน้าโครงการเชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้

 

             จากวิกฤติสู่โอกาสแห่งการเรียนรู้

             ในช่วงที่ทั่วโลกเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 โรงเรียนปิด เด็กๆ ต้องอยู่บ้าน หลายครอบครัวพบว่าการเรียนรู้ของลูกถูกจำกัด มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นน้อยลง และเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับหน้าจอดิจิทัล แต่ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมการศึกษาที่นำไปสู่การสร้าง “เชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้” โครงการที่ล่าสุดได้รับรางวัลจาก TK Park

             โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2564 จากความร่วมมือระหว่างมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) และเครือข่ายในท้องถิ่น โดยมีประกายดาว คันธะวงศ์ ชาวเชียงดาวโดยกำเนิดและอาสาสมัครของมูลนิธิมะขามป้อม เป็นผู้ริเริ่มและนำโครงการ “จริงๆ แล้วเรามองเห็นว่าศักยภาพของพื้นที่เชียงดาวเรามีแทบจะครบทั้งหมด มีทั้งพื้นที่ในการสร้างการเรียนรู้ มีองค์ความรู้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้อื่น มีเด็กและเยาวชน มีคนในชุมชน ที่มะขามป้อมทำงานมากว่ายี่สิบปีในอำเภอเชียงดาว ประกายดาวกล่าว

             ทีมงานเริ่มต้นจากการทดลองสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่คนในชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นครูสอนเด็กๆ ได้ โดยมองว่าในช่วงที่โรงเรียนปิด จำเป็นต้องมีพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียนเพื่อไม่ให้เด็กขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะและเรียนรู้

 

ห้องเรียนโดยชุมชน – จุดเริ่มต้นของแนวคิด

             ในปีแรก โครงการได้ริเริ่มแนวคิดการสร้างพื้นที่เรียนรู้ 4 แห่ง โดยมองหาผู้เชี่ยวชาญในชุมชนที่มีความรู้เฉพาะทางและยินดีถ่ายทอดให้กับเด็กๆ โดยมีแนวคิดหลักในการออกแบบพื้นที่เรียนรู้ดังนี้:
             1. การเรียนรู้ธรรมชาติและระบบนิเวศ – ใช้พื้นที่ป่าชุมชนเป็นห้องเรียนธรรมชาติ พาเด็กๆ สัมผัสและเรียนรู้ความเชื่อมโยงของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศป่า ตั้งแต่พืชพรรณ เชื้อรา แมลง และสัตว์ขนาดเล็ก
             2. การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและงานหัตถกรรม – ถ่ายทอดความรู้ด้านงานหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น การย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ โดยเรียนรู้ตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์
             3. การเรียนรู้วิถีเกษตรยั่งยืน – นำเด็กๆ เรียนรู้หลักการทำเกษตรแบบยั่งยืน เข้าใจวงจรการผลิตอาหาร การปลูกพืชโดยไม่ใช้สารเคมี และการแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่า
             4. การเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิต – สร้างการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่ ผ่านกิจกรรมที่ให้เด็กๆ ได้สัมผัสประสบการณ์จริง

 

             ความกังวลแรกเริ่มคือจะมีเด็กๆ และผู้ปกครองสนใจมาร่วมกิจกรรมในช่วงโควิด-19 หรือไม่ แต่ผลตอบรับกลับเกินคาด ไม่เพียงแต่มีเด็กในพื้นที่มาร่วม แต่ยังมีเด็กจากพื้นที่อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะกลุ่มพ่อแม่ที่ทำโฮมสคูลให้ลูก ที่ต้องการให้บุตรหลานได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและได้เรียนรู้นอกบ้าน

             “คุณพ่อคุณแม่บอกว่าลูกไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อยากให้ลูกได้มีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่แค่ห้องเรียนอย่างเดียว ได้เดินทาง ได้มีประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ต่างๆ ได้เห็นบริบทอื่นๆ ที่ต่างจากบริบทเดิมของตนเอง” ประกายดาวเล่า

 

             จากกิจกรรมเสริมสู่หลักสูตรบูรณาการ

             ความสำเร็จในปีแรกนำไปสู่การพัฒนาในปีที่สอง (2565) ด้วยการขยายแนวคิดให้เชื่อมโยงกับระบบการศึกษาในโรงเรียน ทีมงานเริ่มทำงานร่วมกับ 5 โรงเรียนในพื้นที่ เพื่อออกแบบกิจกรรมที่บูรณาการกับหลักสูตรการเรียนในโรงเรียน

             “เราเริ่มทำงานกับโรงเรียน ให้เด็กๆ เป็นคนออกแบบเองว่าอยากเรียนวิชาอะไร เช่น เด็กๆ จากโรงเรียนหนึ่งสนใจเรื่องการย้อมผ้า เราก็ประสานกับสตูดิโอเชียงดาวบลู ที่ทำเรื่องการย้อมคราม ให้ไปทำงานร่วมกับคุณครู” ประกายดาวอธิบาย

             ปีที่สอง จึงเป็นการปรับเปลี่ยนจากเพียงกิจกรรมนอกห้องเรียนสำหรับเด็กๆ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่บูรณาการกับหลักสูตรในโรงเรียน ซึ่งครูสามารถนำไปใช้ในการวัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนได้ ทำให้การเรียนรู้นอกห้องเรียนมีความหมายและเข้าถึงเด็กได้มากขึ้น

 

             พัฒนาสถานีเรียนรู้สู่แนวทางการเชื่อมโยงเครดิตแบงก์ในสถานศึกษา

             ปีที่สาม (2566-2567) โครงการได้พัฒนาสถานีเรียนรู้โดยออกแบบคู่มือสถานีเรียนรู้ต้นแบบที่มีผลการเรียนรู้ (Learning Outcome) ที่ชัดเจน เพื่อให้แต่ละสถานีเรียนรู้มีเป้าหมายและวิธีการประเมินที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดทางการศึกษา และโรงเรียนก็สามารถใช้ผลการเรียนรู้นี้เชื่อมโยงไปยังสาระการเรียนรู้ของนักเรียนในรายวิชาได้

             “ในปีที่สาม เราทำให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะคุณครูเข้าใจแล้วว่ารูปแบบการประเมินเป็นอย่างไร แต่สถานีเรียนรู้ของเราต้องมี Learning Outcome ของตัวเอง เพื่อให้เป็นหลักฐานการเรียนรู้เชิงประจักษ์” ประกายดาวอธิบาย

             ทีมงานจึงได้พัฒนาคู่มือสำหรับแต่ละสถานีเรียนรู้ทั้ง 6 แห่ง เพื่อให้โรงเรียนสามารถเลือกใช้และเชื่อมโยงกับตัวชี้วัดของโรงเรียนได้ แม้ว่าแต่ละโรงเรียนจะมีรูปแบบการบูรณาการที่แตกต่างกัน บางแห่งใช้วิธีพานักเรียนออกมาในวิชาชุมนุม บางแห่งบูรณาการเข้ากับวิชาต่างๆ โดยตรง

 

             การขยายแนวคิดสู่พื้นที่เรียนรู้ที่หลากหลาย

             ปัจจุบัน (2568) โครงการได้ขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้ครอบคลุมมิติต่างๆ ของการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ เช่น ห้องเรียนธรรมชาติและระบบนิเวศ – เน้นการสร้างความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ห้องเรียนรู้ภูมิปัญญาผ้าทอและสิ่งทอพื้นเมือง – ถ่ายทอดความรู้การย้อมผ้าด้วยคราม เทคนิคการทอผ้า การออกแบบลายผ้า และการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ การศึกษาการทำเกษตรอินทรีย์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร  และห้องเรียนรู้อัตลักษณ์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของอีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

             การขยายกลุ่มเป้าหมาย

             ในช่วงเริ่มต้น โครงการมุ่งเน้นที่เด็กประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-ป.6) แต่ในปีที่สองเป็นต้นมา ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมถึงกลุ่มนักเรียนจากศูนย์การเรียนรู้ด้วย

             “เราเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายมาเป็นเด็กมัธยม ตั้งแต่มัธยมปลายขึ้นไป มีทั้ง ม.2 ม.3 ด้วย เพราะเรามองเห็นว่าการเรียนรู้ที่จะไปเชื่อมโยงกับหลักสูตรเนี่ย มันจะเกิดขึ้นในช่วงระดับมัธยม” ประกายดาวเล่า

             นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงดาว ให้นักเรียนสามารถเก็บชั่วโมงการเรียนรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมกับสถานีเรียนรู้เพื่อใช้ในการประเมินผลได้ เช่น สามารถเก็บชั่วโมงการเรียนรู้กับห้องเรียนในหลักสูตรของมะขามป้อมได้ 12, 16 หรือ 20 ชั่วโมงตามจริง แล้วนำไปคิดเป็นหน่วยกิตในระบบของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ได้


 

             ภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย

             ความสำเร็จของโครงการเกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งสถานีเรียนรู้ โรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนในท้องถิ่น โดยมีคณะทำงานเชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย:
             1. นายอำเภอเชียงดาว
             2. นายกเทศบาลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่
             3. ผู้ประกอบการและร้านค้าในชุมชน ที่หลายแห่งผันตัวเองมาเป็นนักสร้างสรรค์การเรียนรู้ (Learning Creator) จัดกิจกรรมให้เด็กๆ และเปิดพื้นที่ให้ใช้เป็นสถานีเรียนรู้
             4. ภาคประชาสังคมและเครือข่ายในท้องถิ่น
 

             นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่ง กสศ. เข้ามาร่วมทุนในการอบรมครูที่จะทำงานร่วมกับสถานีเรียนรู้ และพัฒนาหลักสูตร ห้องเรียนข้ามขอบ ให้กับเยาวชนในพื้นที่ได้มาเรียนรู้

 

             เรื่องเล่าแห่งความสำเร็จ

             ความสำเร็จของโครงการไม่ได้วัดเพียงตัวเลข แต่วัดจากเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้คน ทั้งเด็กๆ ครู และคนในชุมชน

             เด็กๆ เล่าว่าพวกเขาได้ค้นพบความสนใจของตัวเอง นอกเหนือจากห้องเรียนหรือสิ่งที่โรงเรียนมอบให้ พวกเขารู้สึกว่ามีทางเลือกมากขึ้น มีอิสระในการเลือกเรียนมากขึ้น จากที่เชียงดาวเคยไม่มีตัวเลือกมากนัก

             คุณครู เล่าว่าได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ “ครูบรรจุมาอยู่ที่นี่โรงเรียนประมาณสิบยี่สิบปีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ออกมาเรียนรู้นอกห้องเรียนกับสถานีเรียนรู้ที่ห่างจากโรงเรียนแค่ห้ากิโลเมตรเท่านั้น ต้องขอบคุณมากที่ทำให้ครูได้เปิดโลกของการเรียนรู้ที่นอกเหนือจากวิชาที่สอน คุณครูไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ก็ได้ คุณครูไปหาคนที่อยู่ในชุมชนที่มีความรู้จริงๆ มาช่วยครูสอนก็ได้”

 

             ความท้าทายและก้าวต่อไป

             แม้จะประสบความสำเร็จ แต่โครงการยังมีความท้าทายที่ต้องฝ่าฟัน โดยเฉพาะการทำให้เกิดกลไกระดับนโยบายที่จะสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืน

             “ฝันว่าอยากให้เกิดกลไกของภาครัฐในพื้นที่ที่เข้ามาหนุนเสริม เพราะว่าตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นภาคประชาสังคมและภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาทำ” ประกายดาวเล่าถึงความท้าทาย

             อีกความท้าทายคือการแก้ปัญหาระยะทางที่ไกล เนื่องจากหลายพื้นที่ในอำเภอเชียงดาวอยู่ห่างไกลกันมาก บางแห่งต้องเดินทางถึง 45 กิโลเมตรเพื่อมาถึงสถานีเรียนรู้ ทำให้เด็กๆ เข้าถึงได้ยาก โครงการจึงมีแผนที่จะขยายสถานีเรียนรู้ให้กระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เพื่อให้เด็กๆ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

             “ในปีที่สี่ เราจะทำงานเชิงลึมากขึ้น ในด้านการยกระดับจาก Credit Bank สู่ Co-curriculum ร่วมกับ สกร.อำเภอเชียงดาว บ่มเพาะและจัดการสถานีเรียนรู้โดยรอบพื้นที่โรงเรียนนำร่องเพื่อสร้างพื้นที่เรียนรู้ใกล้บ้านใกล้โรงเรียน ทดลองโรงเรียนนำร่อง  Policy Sandbox: System Change วิธีการทำงานทั้งในเชิงมาตรการ ตัวชี้วัด แผนจัดสรรงบประมาณ บทเรียนเชิงนโยบายต้องปรับอย่างไร? และทดลองหาแนวทางความเป็นไปได้ในการบ่มเพาะท้องถิ่นเมืองแห่งการเรียนรู้คู่ขนาน เพื่อขยายผลในพื้นที่ต่อไป” ประกายดาวกล่าว

 

             ความยั่งยืนของโครงการ

             ถึงแม้จะได้รับการสนับสนุนจาก สสส. และ กสศ. แต่โครงการได้วางแผนเพื่อความยั่งยืนในระยะยาวโดยการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่

             “ถ้าหากว่างบประมาณจากทาง สสส. หรือ กสศ. ไม่ได้สนับสนุนต่อ เรามีแนวโน้มว่าภาคประชาชนหรือผู้ประกอบการจะเข้ามาช่วยสนับสนุน อาจจะไม่ได้เป็นตัวเงินที่มากนัก แต่ก็จะมีในส่วนของพื้นที่หรือองค์ความรู้ที่มันยังสามารถรันต่อไปในพื้นที่ได้” ประกายดาวมองอนาคตด้วยความหวัง


 

             รางวัลจาก TK Park – การยอมรับในระดับประเทศ

             ด้วยรูปแบบการทำงานที่เป็นรูปธรรม การมีส่วนร่วมของชุมชน และการเชื่อมโยงเข้ากับระบบการศึกษา ทำให้โครงการเชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ ได้รับรางวัลจากสถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของสถาบัน

             รางวัลนี้ไม่เพียงเป็นการยกย่องความพยายามของทีมงาน แต่ยังเป็นการยืนยันว่าโมเดลการศึกษาที่เกิดจากฐานรากชุมชนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมได้ และเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย

             “จุดเด่นของเราคือการทำงานในพื้นที่มานาน และมีความเป็นรูปธรรมในด้านของการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานต่างๆ รวมถึงองค์ความรู้เรื่องการทำเมืองแห่งการเรียนรู้ในระดับตำบลหรือระดับอำเภอ พื้นที่อื่นๆ เขาอาจจะทำเหมือนกัน แต่เรื่องของการเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบการศึกษาของโรงเรียนอาจจะยังไม่มีที่ไหนทำ” ประกายดาวให้ความเห็น

 

             เชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการจัดการศึกษาที่เกิดจากฐานรากของชุมชน โดยไม่แยกห้องเรียนออกจากชีวิตจริง แต่เชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่น ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และทรัพยากรในชุมชนเข้ากับระบบการศึกษา

             จากเริ่มต้นด้วยสถานีเรียนรู้ 4 แห่ง สู่การขยายเป็น 6 แห่ง และการบูรณาการเข้ากับหลักสูตรโรงเรียน ทำให้เชียงดาวกลายเป็นพื้นที่ต้นแบบของเมืองแห่งการเรียนรู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพื้นที่อื่นๆ

             สำหรับประกายดาว ความสำเร็จนี้เป็นการตอกย้ำว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นได้จากการลุกขึ้นมาทำด้วยตนเอง

             “หนูรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นบทบาทที่หนูใช้ความสามารถในการเป็นประชาชนคนเชียงดาวคนหนึ่ง ให้เกิดประโยชน์กับบ้านเกิดของตัวเอง”
             

หมายเหตุ: หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการเชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ หรือต้องการเยี่ยมชมสถานีเรียนรู้ สามารถติดต่อได้ที่มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) หรือติดตามข่าวสารผ่าน facebook เชียงดาวเมืองแห่งการเรียนรู้ “Chiangdao Learning City” 

Shares:
QR Code :
QR Code