9 วิธีในการเสริมพลังเด็ก
ลองถามพ่อแม่คนไหนก็ได้ว่าอยากให้เด็กเป็นอย่างไรเมื่อโตขึ้นมากที่สุด คำตอบง่ายๆ ก็คือ เราอยากให้ลูกมีความสุข
เราอยากให้ลูกโตขึ้นเป็นคนมั่นใจ เชื่อมั่นในตัวเอง และกล้าทำตามความฝัน แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อช่วยสร้างเสริมพลังและช่วยให้เด็กเองรู้สึกว่าตนเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เรารู้ว่าเด็กเป็นเช่นนั้น เราจะช่วยเด็กอย่างไรให้เดินตามเส้นทางของตัวเองเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ยอดเยี่ยมอย่างที่เรารู้ว่าเด็กสามารถเป็นเช่นนั้นได้
ให้เด็กมีทางเลือก
ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือกและการตัดสินใจ ในช่วงปีต้นๆ ของชีวิต พ่อแม่จะเลือกอะไรหลายต่อหลายอย่างให้ลูก แต่พอลูกโตขึ้น เราก็สามารถส่งเสริมให้ลูกคิดและเลือกเองได้ เราสามารถมอบทักษะเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กได้ ถ้าเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมของตัวเอง ยิ่งเด็กโตขึ้น โอกาสในลักษณะก็ยิ่งมีอยู่มากมาย
ทุกครั้งที่เด็กเลือกว่าจะสวมอะไร เล่นอะไร และกินอะไร ก็เท่ากับเด็กกำลังพัฒนาทักษะการเลือกของตัวเอง
หนึ่งในทักษะแรกๆ ที่ผู้ปกครองสามารถสอนเด็กคือการแบ่งปัน และถ้าเราสอนโดยการให้ทางเลือกกับเด็ก ก็ยิ่งเป็นการเสริมสร้างพลังที่ดี
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกว่า “แบ่งของเล่นให้น้อง/เพื่อนเล่นด้วยสิ” เราก็สามารถถามว่า “อยากแบ่งรถหรือรถบรรทุกให้คนอื่นเล่นไหม” การให้เด็กมีทางเลือก แทนที่จะร้องขอแบบครอบคลุม เป็นการให้เด็กๆ สามารถควบคุมชีวิตได้มากขึ้น
ฟังเด็กๆ
สิ่งที่สร้างความมั่นใจให้คนเรามากที่สุดคือการมีคนรับฟังมุมมองและความรู้สึกของเรา ถามเด็กว่าวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และตั้งใจฟังจริงๆ เวลาเด็กพูด
เลือกเวลาที่คุณไม่ยุ่งนัก กำจัดสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจออกไป และตั้งใจฟังเด็กจริงๆ ถ้าเด็กเล่าถึงความกังวลหรือความรู้สึกแง่ลบใดๆ ก็พยายามอย่ารีบกระโดดเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้เด็กพูดโดยที่เราตั้งใจฟัง
ถ้าเด็กรู้สึกว่าสามารถพูดกับคุณได้ทุกเรื่อง โดยที่คุณไม่สติแตกหรือกังวลจนเป็นบ้าไปก่อน พวกเขาก็จะรู้สึกมีกำลังใจ และเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น
ปล่อยให้ลองเสี่ยงบ้าง
เรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ เป็นธรรมดาที่คนเป็นพ่อแม่จะอยากปกป้องลูกจากเรื่องเลวร้ายทุกอย่างในชีวิต แต่คนเราก็เรียนรู้จากการทำผิดพลาดและการคิดหาหนทางที่ดีที่สุดด้วยการลองผิดลองถูก
เพราะฉะนั้นสูดหายใจลึกๆ และปล่อยให้เด็กทำอะไรอย่างอิสระและสะดุดหรือผิดพลาดบ้าง คุณต้องพร้อมเข้าช่วยและช่วยคิดว่าผิดพลาดตรงไหน และคราวหน้าจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร
นี่อาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่คุณสามารถผ่อนการควบคุม และปล่อยให้เด็กสำรวจและเรียนรู้เองบ้าง นั่นคือการช่วยเด็กให้เรียนรู้บทเรียนชีวิตสำคัญ
ปล่อยให้ฝันบ้าง
การอดใจไม่ตรงเข้าไปอธิบายให้เด็กฟังว่าทำไมถึงอาจไม่มีทางได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ หรือชนะรายการแข่งขันร้องเพลงเป็นเรื่องยากมาก แต่คุณก็ต้องพยายามอดกลั้นและปล่อยให้เด็กฝันบ้าง
ถ้าพ่อแม่ของคนมีพรสวรรค์ทุกคนพากันปฏิเสธความฝันของลูก ก็จะไม่มีใครสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้เลย เด็กสามารถพบกับความฝันและความปรารถนายิ่งใหญ่ได้อีกมากมาย เราให้เด็กรู้ได้ว่า พวกเขาสามารถเป็นได้ทุกอย่างที่อยากเป็น และทำได้ทุกอย่างที่อยากทำ ตราบเท่าที่ทำงานหนักและเชื่อมั่นในตัวเอง
ใครจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าความฝันและความกระตือรือร้นในวัยเด็กจะพาพวกเขาไปไกลแค่ไหน จงเป็นกองเชียร์ที่เสียงดังที่สุดของลูก และช่วยทำฝันให้เป็นจริง ถ้าเด็กพบว่าความฝันค่อยๆ จางไประหว่างทาง ให้บอกว่าแบบนี้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน และมีทางอื่นอีกมากมายให้เลือกเดิน เพราะไม่ว่าอย่างไร ถ้าเราไม่ได้ลองพยายามตั้งแต่ต้น ก็ไม่มีทางสำเร็จ
ยืนให้เหมือนซูเปอร์ฮีโร่
ท่าโยคะง่ายๆ สามารถสร้างเสริมพลังได้อย่างดี
เด็กอาจแปลกแยกจากร่างกายและโลกรอบตัวได้มาก ท่าทางง่ายๆ อาจช่วยให้เด็กสังเกตความรู้สึกของตัวเองได้ดีมาก ดูว่าส่วนไหนของร่างกายสัมผัสพื้น และช่วยให้ตนเองได้หยุดพัก หายใจเข้า และมองสิ่งต่างๆ ในมุมมองใหม่
ลองใช้ท่ายืนซูเปอร์ฮีโร่ หรือโจรสลัด ที่ให้เด็กยืนแยกขาเล็กน้อย ดันไหล่ไปข้างหลัง ใช้มือเท้าสะโพก
การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้บอกว่า การยืนในท่าซูเปอร์ฮีโร่ 30 วินาที จะทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รู้สึกและทำตัวแข็งแกร่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงไปถึงขั้นสรีระด้วยระดับเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับพลัง) ที่เพิ่มขึ้น และระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด) ที่ลดลง! จึงทำให้คนผู้นั้นรู้สึกมั่นใจขึ้นที่จะรับมือความท้าทายทุกอย่าง
พูดถึงเด็กในแง่บวก
ให้ถือว่าการพูดถึงเด็กในแง่บวกเสมอเป็นภารกิจอย่างหนึ่ง
พยายามอย่าตีตราเด็กๆ ว่า “คนทำรก” หรือ “คนขี้อาย” ทั้งในเวลาพูดกับตัวเด็กเอง และเวลาที่พูดถึงเด็ก ถ้าเราบอกเด็กอยู่เรื่อยๆ ว่าพวกเขาฉลาด มีความสามารถ และมีความมุ่งมั่นเด็กก็จะเชื่อในที่สุด
แน่นอนว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคุณเอ่ยชมเด็กที่มีความพยายาม ความกล้าหาญ และการปรับตัวเก่ง พวกเขาก็จะรู้สึกว่ามีพลังที่จะกลับลุกขึ้นยืนทุกครั้งที่ทำพลาด และในเวลาที่เด็กหงุดหงิดหรือทำผิดพลาด ให้บอกทุกครั้งว่าคุณรักพวกเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เรื่องเล็กๆ ในชีวิต…
ชีวิตอาจวุ่นวาย และมีภาระและความตึงเครียดใหญ่ๆ เกิดขึ้นได้ระหว่างทาง สอนให้เด็กให้คุณค่ากับสิ่งเล็กๆ ในที่ทำให้แต่ละวันดีขึ้น
ใช้เวลาสักครู่เงยหน้ามองเมฆหรือรับรู้ถึงแสงแดดที่ส่องต้องหน้า ก้มลงมองหาแมลงเต่าทองบนใบไม้หรือใยแมงมุมเปียกน้ำค้างในพุ่มไม้
นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกัน และพูดคุยถึงเรื่องในวันนั้น ถ้าเป็นวันที่ยากลำบาก ก็รับฟัง แต่พยายามมองหาสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้เป็นวันที่พอทนได้ขึ้นมา ถามว่ามีอะไรตลกๆ เกิดขึ้นไหม หรือว่าใครทำอะไรบ๊องๆ บ้าง หรือไม่ก็อุ้มลูกขึ้นและออกไปผจญภัยฉบับฉับพลันด้วยกัน อย่างกินไอศกรีมบนชายหาด (แม้จะเป็นฤดูหนาว) หรือไปเดินเล่นในแสงคบไฟ
บอกเด็กว่าเป็นตัวเองก็พอแล้ว
ตอนนี้เราอยู่ในสังคมที่ทุกคนเชื่อว่าต้องมีมากกว่านี้ มีคนรัก ให้ค่า และยอมรับมากกว่านี้ถึงจะดียิ่งกว่าครั้งไหนๆ
อิทธิพลของโซเชียลมีเดียทำให้เด็กรู้สึกได้ง่ายเหมือนว่าตัวเองไม่มีวันทำได้ดีเท่าภาพสมบูรณ์แบบที่ได้เห็น พูดคุยกับเด็กว่าสิ่งที่เราเห็นในโซเชียลไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงภาพในชีวิตจริง
ช่วยให้เด็กเข้าใจว่าเป็นตัวเขาก็พอแล้ว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และการพอก็เป็นเรื่องดีมากจริงๆ สอนว่านี่สามารถช่วยพวกเขาให้มีความมั่นใจไปได้ตลอดชีวิต
ให้ค่ากับช่วงเวลาที่เป็นสุข
มีช่วงเวลาสั้นๆ และความสำเร็จเล็กๆ มากมายในชีวิตประจำวันของเด็กที่คู่ควรจดจำและรักษาไว้
วิธีดีๆ ที่จะอย่างนี้คือการทำขวดโหลความสุขประจำครอบครัว หาขวดโหลใบใหญ่ๆ มาตกแต่ง และใส่แถบกระดาษเล็กๆ ลงไป ทุกครั้งที่เด็กมีช่วงเวลาควรภูมิใจที่โรงเรียน หรือมีช่วงเวลาที่มีความสุขของครอบครัว ก็เขียนลงไป จดวันที่ไว้ และใส่ลงไปในขวดโหล ใส่ทั้งเรื่องเล็กๆ รวมถึงความสำเร็จและเหตุการณ์ใหญ่ๆ ขวดโหลความสุขเป็นเรื่องน่าทึ่งให้เด็กนั่งลงไล่ดูเป็นครั้งคราว การอ่านเรื่องราวของช่วงเวลาที่มีความสุขทั้งหมดจะช่วยให้ชื่นชมสิ่งดีๆ รอบตัวและสิ่งที่ทำสำเร็จ
แน่นอนว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคุณเอ่ยชมเด็กที่มีความพยายาม ความกล้าหาญ และการปรับตัวเก่ง พวกเขาก็จะรู้สึกว่ามีพลังที่จะกลับลุกขึ้นยืนทุกครั้งที่ทำพลาด และในเวลาที่เด็กหงุดหงิดหรือทำผิดพลาด ให้บอกทุกครั้งว่าคุณรักพวกเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น