
6 เรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อเด็กไทยในยุคหลังโควิด
จากรายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2566
การดำเนินงานของสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สสส. ที่ผ่านมาหลายปี มีรูปแบบเป็นการทำงานเฉพาะพื้นที่ เฉพาะเรื่อง เฉพาะจุด จึงยังไม่มีแรงส่งแรงผลักดันให้สุขภาวะของเด็ก เยาวชนและครอบครัวบรรลุผลได้อย่างที่เรียกว่า ทำสำเร็จ
เมื่อต้องคิดใหม่ ทำใหม่ การทำงานวิจัยเพื่อเกาะติดสถานการณ์จึงมีความจำเป็นและจริงจัง จึงต้องทำสำรวจสถานการณ์และความต้องการของเด็กและเยาวขนอย่างแท้จริง
วิชาการที่จัดทำขึ้นโดย คิดฟอร์คิดส์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนัก 4 มีเป้าหมายในการทำงานโดยศึกษาปัจจัยแวดล้อมรอบตัวเด็กแบบรอบด้าน และนำข้อมูลการศึกษามาออกแบบให้ระบบนิเวศน์รอบตัวเด็กเอื้อต่อการเติบโตของเด็กและสอดคล้องกับโลกยุค VUCA World
งานวิชาการที่ผลิตโดยคิดฟอร์คิดส์ จึงช่วยสนับสนุนเป้าหมายของสำนักฯ ที่ต้องการให้บรรลุในปี 2570 คือเกิดพื้นที่ 300 แห่งที่สามารถเป็นต้นแบบบูรณาการจนเกิดเป็นผลลัพธ์สุขภาวะเด็กและเยาวชน การมีดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เป็นกลไกความร่วมมือพหุภาคี และมีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเพิ่มทรัพยากรให้ครอบครัวและเพิ่มพื้นที่เรียนรู้ใกล้บ้าน
ในปี 2566 คิดฟอร์คิดส์ 101 pub และสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. ร่วมกันสำรวจสถานการณ์รายงานเด็กและเยาวชนในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่ามีเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาวะเด็กและเยาวชน สะท้อนถึงวิกฤติสามด้านคือ ด้านความเหลื่อมล้ำ การพัฒนา ด้านสังคมการเมือง และด้านโครงสร้างครอบครัว นำมาสู่ 6 สถานการณ์สำคัญได้แก่
ประเด็นที่ 1 ครอบครัว
1.8 ล้านคนของเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เกิดครอบครัวแหว่งกลางหลากหลายรูปแบบทำให้เผชิญความเปราะบางทับซ้อน และส่งผลไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัยเปราะบางในหลายรูปแบบไปด้วยเช่น เกิดความตึงเครียด ขัดแย้ง ห่างเหิน ส่งผลต่อคุณค่า ทัศนคติของเยาวชนใน 5 กลุ่มตามที่มีการสำรวจมาข้างต้น
ประเด็นที่ 2 การทำงาน
เยาวชนอยากประสบความสำเร็จด้านการทำงาน แต่ “ไม่มีงาน” ให้ทำอย่างเพียงพอ ทั่วถึง โควิดส่งผลให้อัตราการว่างงาน และว่างงานแฝงของเยาวชนสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยเฉพาะกลุ่มระดับอุดมศึกษา
เยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม (Youth Not in Employment, Education, or Training : NEET)
หรือถูกเรียกสั้นๆว่า เป็นเด็ก NEET ไม่ได้รับจ้างงาน เรียนหรือฝึกทักษะ เยาวชนกลุ่มนี้ 2 ใน 3 ไม่พร้อมทำงาน และไม่อยากฝึกทักษะ เพราะอยากพักผ่อน เหตุผลที่สองคือไม่มีเวลา เพราะต้องดูแลครอบครัว รวมทั้งหาหลักสูตรที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้
นอกจากนั้น เยาวชนยังพบปัญหาเรื่องการหางานที่ดี ได้ยากกว่า เพราะค่าจ้างต่ำ ไม่ตรงตามฝัน และงานหนักเกินควร
ประเด็นที่ 3 การเรียนรู้
ผลสำรวจพบว่าเด็กและเยาวชนเผชิญกับภาวะการเรียนรู้ถดถอยในช่วงโควิด โดยในมัธยมต้นพบว่า วิชาที่ถดถอยมากคือ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
นอกจากนั้นยังพบว่า ทักษะแห่
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นคุ
ประเด็นที่ 4 สุขภาพจิต
ปัญหานี้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่แม้จะมีจำนวนเยาวชนเสี่ยงซึมเศร้าลดลงเมื่อคลายล็อกดาวน์ แต่กลับเพิ่มขึ้นมาอีกเพราะการเรียนเป็นสาเหตุหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบออนไซต์ ออนไลน์ ช่วงปิดเทอม หรือเปิดเทอมก็ตาม
ครอบครัวคือฐานสำคัญในการดูแลจิตใจเยาวชน โดยผลสำรวจพบว่ากลุ่มที่สนิทกับครอบครัวมากที่สุดจะมีความเครียดน้อยกว่ากลุ่มอื่น
บริการดูแลสุขภาพจิตยังมีความเหลื่อมล้ำสูงในสังคมไทย ส่งผลให้เยาวชนมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายจากการไม่ได้รับการติดตามอาการ เพราะสถานพยาบาลที่มีจิตแพทย์มีเพียง 177 แห่งทั่วประเทศ และกระจุกตัวอยู่ใน กทม. ถึง 77%
ประเด็นที่ 5 ความรุนแรง
เด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่
สาเหตุอันดับแรกมาจากการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นความรุนแรงที่มองเห็นได้ยาก ในเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบถูกทำร้ายรุ
นอกจากนั้น ยังพบว่ามีการใช้ความรุนแรงจากการถูกคุกคามทางเพศผ่านทางออนไลน์เป็
ประเด็นที่ 6 ความฝันถึงสั
เยาวชนแต่ละช่วงวัย และแต่ละกลุ่มฝันถึงสังคมหลากหลายแนวทาง แต่มีหลักการร่วมกันใน 3 เรื่องใหญ่คือ
เยาวชนกลุ่มต่างกัน ให้คำนิยามของคำว่า ชาติ ต่างกันไปด้วย บางกลุ่มให้น้ำหนักกับความรู้สึกภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และการเห็นวัฒนธรรมไทยว่าดีกว่าวัฒนธรรมอื่น นอกจากนั้นยังมี
เรื่องจินตนาการพลเมืองเยาวชน พบว่า เยาวชนให้ความสำคัญกับการพัฒนาเรื่องระบบสวัสดิการ บริการสาธารณะ การมีศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียม เปิดกว้าง และการมีพื้นที่และระบบสาธารณะ ที่ครอบคลุมปลอดภัยรวดเร็ว ราคาถูก โดยจินตนาการเรื่องความเปลี่ยนแปลงนั้น มองว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการที่ชอบธรรมยั่งยืน ไม่ใช่การเกิ
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติ