6 เรื่องที่ต้องคำนึง เมื่อเปลี่ยนการเล่นของเด็กเป็นการเสริมสร้างการเรียนรู้
การวิจัยด้านพัฒนาการทางสมองนานหลายปีได้เผยความรู้มากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กจำเป็นต้องใช้ในการเติบโตอย่างมีสุขภาวะ และมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่สมวัย นั่นคือการเล่น และการนำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้งานในโลกจริงก็สำคัญเช่นกัน
งานวิจัยใหม่ชิ้นหนึ่ง นำทีมโดยบัณฑิตมหาวิทยาลัยเพนน์สเตท เบรนน่า แฮสซิงเจอร์-แดส ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยเพซ นครนิวยอร์ก และเจนนิเฟอร์ ซอช ศาสตราจารย์ด้านพัฒนาการมนุษย์และครอบครัวศึกษาที่มหาวิทยาลัยเพนน์สเตท แบรนดีไวน์ ได้สำรวจถึงแนวคิดหลักของการเรียนรู้ผ่านพื้นที่การเล่นของเด็กโดยใช้ความรู้วิทยาศาสตร์หนุนหลัง พบว่า การเปลี่ยนพื้นที่ในชีวิตประจำวันของเด็กนอกจากในบ้านแล้ว พื้นที่เช่นทางเท้า ป้ายรถเมล์ ศาลาที่พักริมทาง สวนสาธารณะ ตลาดนัด หรือแม้แต่บนโทรศัพท์มือถือ ล้วนสามารถปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นพื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยการเล่น และกระตุ้นการสนทนาระหว่างพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูกับเด็กได้แบบเดียวกับพื้นที่ในโรงเรียน
แนวคิดหลักแห่งการเรียนรู้ผ่านการเล่นสามารถเพิ่มพูนประสบการณ์ทุกด้านให้เด็กอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในสวนสาธารณะ ระหว่างเดินจ่ายตลาด หรือใช้แอพในสมาร์ทโฟน แนวคิดหลักในการออกแบบพื้นที่การเล่นในชุมชนของเด็ก มีตั้งแต่การเล่นที่เป็นเชิงรุก น่าติดตาม มีความหมาย มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีการทบทวน ไม่ใช่แค่ทำซ้ำ และสนุก
ด้านที่ 1 สร้างความกระตือรือร้น
การเล่นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ต้องสร้าง “ความกระฉับกระเฉง” ตลอดเวลา โดยพ่อแม่ ผู้ดูแลเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก ใช้วิธีผสมผสานเนื้อหาการอ่านและองค์ประกอบแนวทางการศึกษาแบบบูรณาการความรู้ 4 สหวิทยาการ คือ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เทคโนโลยีและคณิตศาสตร์ (STEM) เข้าไปในการพูดคุย
ตัวอย่างการเล่นบนแนวคิดนี้ เช่น การนับลูกแอปเปิลดังๆ ขณะหยิบใส่ตะกร้าเวลาไปตลาด การถามเด็กว่าลูกบาศก์ไม้แต่ละลูกเริ่มด้วยตัวอักษรอะไรขณะวางเรียงขึ้นไป หรือจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราวางไม้สี่เหลี่ยมสีแดงลงไปบนไม้สามเหลี่ยมสีเหลือง
ด้านที่ 2 จัดสภาพแวดล้อมให้เด็กมีสมาธิ
เมื่อถึงเวลาเล่น พยายามจำกัดสิ่งรบกวน สิ่งเร้าออกไปจากตัวเด็กให้มากที่สุด ตั้งแต่ทีวีที่เปิดทิ้งไว้รวมทั้งการใช้โทรศัพท์ของพ่อแม่ ผู้ดูแลเด็กด้วย เพราะนักวิจัยพบว่าสิ่งรบกวนมีแนวโน้มจะดึงเวลาคุณภาพสูงที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรจะมีกับลูกออกไป เมื่อถึงเวลาเล่น ต้องให้เด็กมีสมาธิและจดจ่อระหว่างการเล่น เพื่อทำให้คุณและเด็กได้ประโยชน์จากปฏิสัมพันธ์นี้มากที่สุด
ด้านที่ 3 เชื่อมโยงเรื่องให้ใกล้ตัวเด็ก
เริ่มจากชวนเด็กเล่นในหัวข้อที่เด็กสนใจอยู่แล้ว ถ้าเด็กชอบไดโนเสาร์ พ่อแม่ ผู้ปกครองลองเสนอการเล่นขุดหาฟอสซิลไดโนเสาร์ที่สนามเด็กเล่น แล้วก็ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับไดโนเสาร์เข้าไป เช่น ให้เด็กนับว่าไดโนเสาร์มีกระดูกกี่ชิ้น แต่ละประเภทกินอะไร เป็นต้น หรือถ้าคุณกำลังอ่านหนังสือที่ใช้ฉากของประเทศอื่นๆ ก็ลองชวนเด็กใช้ลูกโลกหรือเปิดแอพแผนที่สำรวจว่าประเทศนั้นอยู่ที่ไหน และอากาศต่างจากที่เด็กอยู่อย่างไร นี่เป็นการเล่นที่เชื่อมเด็กให้เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น และสนุกด้วย
ด้านที่ 4 อย่าปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียว
ให้ปล่อยเด็กเป็นฝ่ายนำในเวลาเล่น ส่วนพ่อแม่ ผู้ปกครองมีหน้าที่ให้การสนับสนุนอยู่ข้างๆ เช่น ให้เด็กตัดสินใจว่าจะใช้ลูกบาศก์ไม้สร้างอะไร โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่ถามคำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนูวางลูกบาศก์ชิ้นนั้นไปอีกทาง” หรือ “หนูว่าต้องใช้ลูกบาศก์ไม้กี่ชิ้นถึงจะสร้างหอคอยสูงเท่าหนูได้”
ด้านที่ 5 ให้ทำซ้ำ ไม่ต้องกลัวพลาด
เด็กๆ มีธรรมชาติเป็นนักคิดแบบวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว พวกเขาชอบทดลอง ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และพยายามทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้ผล นักวิจัยแนะนำว่าควรปล่อยให้เด็กมีโอกาสคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำ “การทดลอง” คิดคำใหม่ให้เพลงโปรด ไม่ต้องห่วงเมื่อเด็กทำผิดพลาด เพราะทุกกความผิดพลาดนำไปสู่การเรียนรู้
ด้านที่ 6 เด็กได้สนุกอย่างคาดไม่ถึง
พ่อแม่ ผู้ใหญ่สามารถทำให้เวลาเล่นของเด็กเกิดความสนุกได้หลายวิธี รวมถึงการใส่เรื่องคาดไม่ถึงเข้าไปด้วย เช่น การเล่นกับเงา ระหว่างเล่น ให้ถามว่าเงาของใคร อันไหนใหญ่กว่า หรือจะทำให้เงาใหญ่หรือเล็กลงได้อย่างไร เป็นวิธีสร้างความสนุกและคาดไม่ถึงได้ หรือลองคิดถึงสิ่งที่จะช่วยให้เด็กเชื่อมต่อกับอะไรก็ตามที่ทำให้พวกเขาสนุก ตั้งแต่ใช้ลังกระดาษมาก่อสร้างไปจนถึงเล่นเป็นสัตวแพทย์กับตุ๊กตาสัตว์
Urban Thinkscape ตัวอย่างแนวคิดการออกแบบพื้นที่เพื่อให้เด็กได้เล่น
Urban Thinkscape คือตัวอย่างของการเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ ป้ายรถเมล์ให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้น่าสนุกที่กระตุ้นให้เกิดการเล่นและพูดคุย โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า “เรื่องราว” ซึ่งเป็นเครื่องหมายอยู่บนพื้น มีรูปภาพต่างๆ ใช้เล่าเรื่องราวได้ ตามคำกล่าวของนักวิจัย เมื่อเด็กๆ เดินจากเครื่องหมายหนึ่งไปอีกเครื่องหมายหนึ่ง และแต่งเรื่องราวขึ้นมา พวกเขาก็จะสร้างเสริมทักษะการเล่าเรื่องขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการอ่านออกเขียนได้
แม้ว่างานวิจัยนี้จะเน้นที่พื้นที่สาธารณะที่ผสานองค์ประกอบพวกนี้เข้าไป แต่นักวิจัยเห็นว่าทุกคนสามารถใช้แนวคิดหลักเหล่านี้เสริมสร้างพื้นที่เล่นและประสบการณ์ของเด็กได้รวมถึงพ่อแม่ที่บ้านด้วย
หนึ่งในตัวอย่างของโครงการ Urban Thinkscape คือ การเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะ ให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ผ่านการเล่นสำหรับเด็ก ในเมืองเบลมอนต์ รัฐฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ
การเปลี่ยนรั้ว ให้กลายเป็น จิ๊กซอว์ เพื่อช่วยเสริมสร้างกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก
Urban Thinkscape คือตัวอย่างของการเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ ป้ายรถเมล์ให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้น่าสนุกที่กระตุ้นให้เกิดการเล่นและพูดคุย โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า “เรื่องราว” ซึ่งเป็นเครื่องหมายอยู่บนพื้น มีรูปภาพต่างๆ ใช้เล่าเรื่องราวได้ ตามคำกล่าวของนักวิจัย เมื่อเด็กๆ เดินจากเครื่องหมายหนึ่งไปอีกเครื่องหมายหนึ่ง และแต่งเรื่องราวขึ้นมา พวกเขาก็จะสร้างเสริมทักษะการเล่าเรื่องขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการอ่านออกเขียนได้
แม้ว่างานวิจัยนี้จะเน้นที่พื้นที่สาธารณะที่ผสานองค์ประกอบพวกนี้เข้าไป แต่นักวิจัยเห็นว่าทุกคนสามารถใช้แนวคิดหลักเหล่านี้เสริมสร้างพื้นที่เล่นและประสบการณ์ของเด็กได้รวมถึงพ่อแม่ที่บ้านด้วย
หนึ่งในตัวอย่างของโครงการ Urban Thinkscape คือ การเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะ ให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ผ่านการเล่นสำหรับเด็ก ในเมืองเบลมอนต์ รัฐฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ
การเปลี่ยนรั้ว ให้กลายเป็น จิ๊กซอว์ เพื่อช่วยเสริมสร้างกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก
เรียบเรียงจาก Science-backed tips for maximizing play time with kids