
ปฏิวัติการคุ้มครองเด็กไทย: แพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” เชื่อมโยงชุมชนสู่นโยบายระดับชาติ
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ โรงแรมเอเชียกรุงเทพ ถนนพญาไท ได้มีการจัดงานสัมมนาเรื่อง “เติมเต็มระบบคุ้มครองเด็ก จากชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด สู่นโยบายชาติและพันธะสากล” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานด้านการคุ้มครองเด็ก และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างระบบคุ้มครองเด็กที่มีประสิทธิภาพ
นวัตกรรมดิจิทัล “เติมเต็ม”: เครื่องมือปฏิรูประบบคุ้มครองเด็กเพื่อแก้ปัญหาเชิงซ้อน
นายธรรมรักษ์ การพิศิษฐ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย กล่าวรายงานว่า งานสัมมนาครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย ร่วมกับศูนย์วิจัยเฉพาะทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
โครงการได้ดำเนินงานใน 9 เขตของกรุงเทพมหานคร และขยายผลไปยังเทศบาลเมืองเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี และเทศบาลตำบลบ่อทอง จังหวัดปัตตานี
บทเรียนจากนวัตกรรมแพลตฟอร์ม เติมเต็ม ในพื้นที่รังสรรค์นวัตกรรมรวม 30 ชุมชน ครอบคลุมเด็ก 535 คน แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของผู้นำชุมชนและอาสาสมัครที่เข้ามาร่วมเรียนรู้และปรับบทบาทของชุมชนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการคุ้มครองเด็กผ่านระบบ “เติมเต็ม”
จากการเก็บข้อมูลเชิงลึก พบว่าเด็กร้อยละ 30 ต้องการบริการที่ซับซ้อนและบริการวิกฤตเร่งด่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้โดยหน่วยงานเดียว เช่น บริการตรวจวินิจฉัยพัฒนาการและรับรองความพิการทางสติปัญญา บริการให้คำปรึกษาทางจิตสังคมที่มีคุณภาพสำหรับเด็กที่อยู่ในความรุนแรง (ซึ่งมีเกือบร้อยละ 60) รวมถึงมีผู้ปกครองหรือครอบครัวเด็กที่ใช้สารเสพติด
นายธรรมรักษ์กล่าวว่า ระบบบริการสังคมแบบตั้งรับและแยกส่วนในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กและครอบครัวที่เปราะบางได้ รวมทั้งระบบการสื่อสาร ประสานงาน และการส่งต่อบริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ยังขาดความต่อเนื่องของบริการที่จะตอบสนองความต้องการของแต่ละครอบครัว
เติมเต็ม จึงถูกพัฒนาขึ้นเป็นระบบดิจิทัลเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีคิดในการจำลองภาวะคุกคาม เป็นระบบดิจิทัลสร้างความรอบรู้แก่ผู้ปกครอง เด็ก และชุมชน ในการร่วมวางแผนอนาคต โดยก้าวสำคัญต่อไปที่ท้าทายคือการเติมเต็มสมรรถนะการคุ้มครองเด็กในระดับท้องถิ่น เขต อำเภอ กรุงเทพมหานคร และจังหวัด ในการขับเคลื่อนระบบการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ใช้การแลกเปลี่ยนข่าวสารเชิงยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และทันเหตุการณ์ เพื่อวิเคราะห์ทางเลือกการตัดสินใจยุติภาวะคุกคามคุณภาพชีวิตเด็กอย่างรวดเร็ว
นโยบายเร่งด่วน: กระทรวงมหาดไทยผนึกกำลังสนับสนุนระบบคุ้มครองเด็ก
ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเปิดงานสัมมนาโดยแสดงความยินดีที่ได้เห็นการรวมพลังของทุกภาคส่วนในการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็ก ดร.ธีรรัตน์ได้ชื่นชมทุกคนที่ทุ่มเทและเสียสละในการทำงานเพื่อสังคมและส่วนรวม
“รังสรรค์อย่างสร้างสรรค์นวัตกรรมของเราที่จะใช้ปรับเป็นต้นแบบ แล้วก็มีการขยายผลพัฒนาต่อยอดไปยังพื้นที่ที่ปฏิบัติการให้ได้มากที่สุด”
ดร.ธีรรัตน์ได้แจ้งว่ากระทรวงมหาดไทยได้มีนโยบายด่วนที่สุด 3 ประการ ในเรื่องการคุ้มครองเด็ก ได้แก่:
1. ให้มีการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กทุกเดือน โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญและพิจารณาเรื่องเร่งด่วนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
2. จัดทำฐานข้อมูลบนเว็บไซต์จังหวัดและรายงานผลการทำงานอย่างต่อเนื่องและเป็นปัจจุบัน
3. เสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้เกี่ยวข้องทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น อำเภอ หน่วยบริการ สถานศึกษา องค์การศาสนาและภาคประชาชน
ดร.ธีรรัตน์ยังกล่าวถึงความสำคัญของแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ และได้ให้คำมั่นสัญญาว่า:
“ขอให้คำมั่นสัญญากับทุกทุกคน จิตอาสา ผู้ปฏิบัติงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกทุกภาคส่วนว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่อยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องเด็กอย่างจริงจัง ในเรื่องของการสนับสนุนงบประมาณ ในเรื่องของการผลักดันนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด”
ปรับกระบวนทัศน์: คุ้มครองเด็กเพื่อพัฒนาศักยภาพเต็มที่ ไม่ใช่แค่ความปลอดภัย
นายแพทย์วิพุธ พูลเจริญ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย ได้นำเสนอแนวคิดพื้นฐานของระบบคุ้มครองเด็ก โดยเน้นย้ำว่าการคุ้มครองเด็กไม่ใช่เพียงแค่การคุ้มครองความปลอดภัย แต่เป็นการคุ้มครองเพื่อให้เด็กพัฒนาเติบโตเต็มตามศักยภาพ
“การคุ้มครองไม่ได้ปกครองแค่ความปลอดภัยของเด็ก แต่คุ้มครองเพื่อให้พวกเขาพัฒนาเติบโตขึ้นไปเต็มตามศักยภาพของพวกเขาที่มี”
นายแพทย์วิพุธยังได้อธิบายถึงความซับซ้อนของการคุ้มครองเด็ก ซึ่งมีมิติที่หลากหลาย ทั้งด้านการศึกษา สุขภาพ สวัสดิการ และอื่นๆ สะท้อนว่าการทำงานต้องอาศัยการบูรณาการและการมองเด็กเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล
“เราต้องเปลี่ยนจากการดูงานของหน่วยงานเป็นการทำงานแบบทาร์เก็ตที่เด็ก เอาเด็กเป็นเซ็นเตอร์”
นายแพทย์วิพุธเน้นย้ำว่าระบบการคุ้มครองเด็กควรเป็นระบบที่เติมเต็มและมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน โดยไม่มีใครตกหล่น
วิกฤตประชากรกับการคุ้มครองเด็ก: ทุกชีวิตมีค่าต่ออนาคตประเทศไทย
นายแพทย์สุนทร สุนทรชาติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ได้นำเสนอเกี่ยวกับแผนคุ้มครองเด็กของกรุงเทพมหานครระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2572) โดยเน้นย้ำความสำคัญของเด็กที่มีต่อประเทศ ในสภาวะที่ประเทศไทยกำลังมีอัตราการเกิดลดลงอย่างมาก
“เด็กหนึ่งคนมีความสำคัญกับประเทศมาก ถ้าเราไม่ดูแลพวกเขา ไม่คุ้มครองพวกเขา พวกเขาจะไม่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพทำมาหากินได้ ทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดี”
นายแพทย์สุนทรได้อธิบายถึงแนวทางการทำงานของกรุงเทพมหานครในการดูแลเด็กตั้งแต่วัยเริ่มต้น ผ่านศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง ซึ่งมีบุคลากรทั้งหมอ นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล และนักจิตวิทยา เพื่อดูแลเด็กอย่างรอบด้าน ที่สำคัญ นายแพทย์สุนทรเน้นย้ำการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อการบูรณาการข้อมูลและการดูแลเด็ก
“ผมคิดว่าในเรื่องของดิจิทัลเป็นสิ่งที่มาปฏิวัติการดูแลเด็กสักคนหนึ่ง”
นายแพทย์สุนทรยังได้นำเสนอนโยบายต่างๆ ของกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็ก รวมถึงการพัฒนา EQ/IQ การศึกษา และการมีส่วนร่วมของชุมชน
บูรณาการในพื้นที่พหุวัฒนธรรม: กรณีศึกษาจากจังหวัดปัตตานี
นายสนั่น สนธิเมือง รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้นำเสนอเรื่อง “เติมเต็มช่องว่างการผสานพันธกิจต่างภาคส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองเด็กในบริบทจังหวัดปัตตานี” โดยอธิบายถึงความซับซ้อนของโครงสร้างการบริหารราชการในระดับจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยหลายภาคส่วน ทั้งราชการส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รวมถึงคณะกรรมการอิสลามในพื้นที่ (เนื่องจากประชากรราว 90% ในจังหวัดปัตตานีนับถือศาสนาอิสลาม)
“ในการบริหารจัดการมันวุ่นไปหมด ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ช่วยกันหมด ช่วยไปช่วยมา ประเด็นคือเหมือนเดิม ขาดการบูรณาการ”
นายสนั่นได้อธิบายแนวทางการแก้ปัญหาด้วยการวางระบบการทำงานที่มีการส่งต่อข้อมูลและความช่วยเหลือตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงจังหวัดว่า
“จากคณะกรรมการหมู่บ้านขึ้นมาก็ส่งต่อขึ้นมา คนนี้มีปัญหาเรื่องอะไร จะช่วยอะไร จะใช้งบประมาณหรือไม่ใช้งบประมาณ จะใช้งบประมาณโดยใช้ระบบอะไร มันมีระเบียบรองรับอยู่”
นายสนั่นยังได้นำเสนอแนวคิดการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลที่ช่วยให้ทุกหน่วยงานสามารถเชื่อมโยงและส่งต่อความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ถ้าเรามีฐานข้อมูลทั้งหมด ทำให้เห็นชัดว่ามีประโยชน์ยังไง ตั้งงบประมาณอย่างไร และสามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบได้จริง”
ปฏิวัติการทำงานด้วยข้อมูล: จากความเชื่อสู่การตัดสินใจตามหลักฐานเชิงประจักษ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เทวา คำปาเชื้อ อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้นำเสนอในหัวข้อ “อนาคตที่เป็นจริงได้ของเทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมการร่วมจัดบริการสังคมต่างภาคส่วนสำหรับเด็กจากครอบครัวเปราะบาง” โดยเน้นย้ำถึงการใช้ข้อมูล (Data) ในการทำงานด้านการคุ้มครองเด็ก
“สังคมเราคือสังคมที่เติบโตมาด้วยความเชื่อ เพราะฉะนั้นเวลาเราทำอะไร มักเป็นความคิดเห็น (Opinion) หมด ไม่ได้เคยคุยกันด้วยข้อมูลเลย”
ผศ.ดร.เทวาอธิบายว่าการใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลทำให้เห็นปัญหาที่แท้จริงและต้นตอของปัญหา
“พอเราออกไปลงพื้นที่ จากเดิมเราก็จะรู้เลยว่าเด็กมีปัญหาอยู่ตรงไหน พอเรามีแพลตฟอร์ม ข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานส่งเข้ามา พอเรามาวิเคราะห์มันสะท้อนมาเลยว่า โห ในตำบลของเราที่เราเห็นมีเด็กมีปัญหาเยอะขนาดนี้เลยหรือ”
ผศ.ดร.เทวายังอธิบายความสำคัญของความยืดหยุ่นในการพัฒนาระบบดิจิทัล “ในการทำงานในโครงการของเรานี่ เราไม่สามารถทำแบบตามน้ำได้เลย เราจะต้องมีระบบประมาณนี้นะ แล้วก็ทุกคนพัฒนา รอไปรอขนาดเปลี่ยนระบบผมไม่รู้กี่รอบ”
สถานการณ์เด็กไทย: ตัวเลขสะท้อนความเหลื่อมล้ำและความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
นายไพรัตน์ กล่ำทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนารายได้และการกระจายรายได้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำเสนอเรื่อง “ถอดรหัสโครงการซุปเปอร์แฟลกชิปที่บรรลุการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและขจัดความยากจน” โดยอธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาโครงการที่จะได้รับการผลักดันเป็นโครงการที่สำคัญของประเทศ
นายไพรัตน์ได้นำเสนอข้อมูลสถานการณ์ความยากจนของเด็กในประเทศไทย “สิ่งที่เราพบครับ เด็กเป็นกลุ่มที่มีปัญหาความยากจนมากที่สุด แล้วก็ถ้าดูเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความเหลื่อมล้ำโดยรวมดีขึ้นมาโดยตลอด แต่มีมิติเรื่องการศึกษา”
นายไพรัตน์ได้แสดงข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับปัญหาของเด็กไทย เช่น “ในปี 2565 เด็กไม่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนดร้อยละยี่สิบ ถ้าไปดูอีกเรื่อง เด็ก 4-5 ปีที่ถูกกระทำความรุนแรงร้อยละห้าสิบ เรื่องของโภชนาการต่างๆ เรื่องของเด็กทารกที่ไม่ได้ทานนมแม่ร้อยละยี่สิบเจ็ด”
นายไพรัตน์ยังเน้นย้ำว่าการแก้ปัญหาเด็กไม่สามารถทำได้โดยรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน “รัฐแก้ไขปัญหาไม่ได้ทั้งหมด โครงการของรัฐไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด ปัจจัยสำคัญ คือ ต้องให้ครอบครัวมีส่วนร่วมให้มากที่สุด”
ความสำเร็จของเขตลาดกระบังและการขยายผล
ในการสัมมนาครั้งนี้ ได้มีการยกตัวอย่างความสำเร็จของการดำเนินงานในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นแบบในการใช้แพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” ในการทำงานด้านการคุ้มครองเด็ก การดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จนี้ได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรในพื้นที่ที่มีความเข้มแข็งและความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทำให้มีกรณีศึกษาตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ และเด็กที่เคยเข้าร่วมโครงการได้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคม
ความสำเร็จของเขตลาดกระบังนี้กำลังได้รับการขยายผลไปยังเขตอื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แนวทางการดำเนินงานในอนาคต
จากการสัมมนาในครั้งนี้ ได้มีการเสนอแนวทางการดำเนินงานในอนาคตเพื่อพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้
1. การผลักดันนโยบายระดับชาติ : ผลักดันให้การคุ้มครองเด็กเป็นวาระแห่งชาติ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง
2. การพัฒนาแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” พัฒนาแพลตฟอร์มให้สามารถรองรับการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็ก และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร: จัดอบรมและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่ทำงานด้านการคุ้มครองเด็กทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด
4. การสร้างความตระหนักรู้ในสังคม รณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองเด็กและการมีส่วนร่วมของทุกคนในการดูแลเด็ก
5. การติดตามและประเมินผล พัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้านการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
บทสรุป
การสัมมนา “เติมเต็มระบบคุ้มครองเด็ก จากชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด สู่นโยบายชาติและพันธะสากล” นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กของประเทศไทย การรวมพลังของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการทำงาน จะช่วยให้การคุ้มครองเด็กมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเด็กทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและเหมาะสม
ดังที่ ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวไว้ในการเปิดงานว่า “การสร้างสรรค์และพัฒนา” เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานด้านการคุ้มครองเด็ก หากทุกคนมีความตั้งใจและเดินไปด้วยกัน พร้อมได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ความสำเร็จในการพัฒนาระบบคุ้มครองเด็กที่ดีกว่าก็จะเกิดขึ้นได้ เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพของเด็กทุกคน”