
จากนโยบายสู่พื้นที่: บทเรียนจากการใช้ “แนวคิดชุมชนนำ” ในการดูแลเด็กและครอบครัวอย่างบูรณาการ
บทความนี้เรียบเรียงจากการเสวนาในงานมหกรรมครอบครัวยิ้มสัญจร จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมธรรมรินทร์ธนา ในหัวข้อ “ล้อมวงเล่า เลี้ยงเด็ก 1 คนใช้คนทั้งหมู่บ้าน กับการสานพลังภาคีเครือข่ายด้านเด็กและกลไกชุมชน” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สสส. เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยวิทยากรจากหน่วยงานภาคี ได้แก่ อนุวัฒน์ จันทร์เขต ผู้รับผิดชอบโครงการครอบครัวยิ้ม วราภา สยางกูร ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน และนัฎญา วรชินา ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
เวทีเสวนานี้นำเสนอรูปแบบความร่วมมือระหว่าง สสส. กับหน่วยงานภาครัฐ ในการปรับวิธีคิดและวิธีการทำงานเพื่อรับมือกับความท้าทายของสังคมไทยที่กำลังเป็นสังคมสูงวัยและมีอัตราการเกิดต่ำ โดยเชื่อว่าแม้เด็กจะเกิดน้อยลง แต่ทุกคนควรได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพผ่านแนวคิด “เลี้ยงเด็ก 1 คนใช้คนทั้งหมู่บ้าน” ที่อาศัยความร่วมมือจากชุมชนเป็นฐาน
ความท้าทายใหม่ในการดูแลเด็กไทย
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เมื่อเด็กที่เกิดใหม่ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สสส. เปิดเผยว่า “เด็กเกิดมาสิบคน เจ็ดคนอยู่ในครอบครัวยากจน ซึ่งก็ตามมาด้วยปัญหาต่างๆ นานาที่ซ้อนทับกัน มีแค่สามคนในสิบคนที่ถือว่าโอเค ครอบครัวพอมีฐานะที่จะคอยดูแลไปได้”
ด้วยความเหลื่อมล้ำนี้ แนวคิด “เลี้ยงเด็ก 1 คนใช้คนทั้งหมู่บ้าน” จึงถูกนำมาใช้ โดยอาศัยกลไกชุมชน ใช้ความเข้มแข็งของคนในชุมชนรวมตัวกันดูแลกันและกัน และดูแลเด็กในชุมชนร่วมกัน
จาก “ภาครัฐสั่งการ” สู่ “ชุมชนนำ”
อนุวัฒน์ จันทร์เขต ผู้รับผิดชอบโครงการครอบครัวยิ้ม ได้อธิบายถึงแนวคิด “ชุมชนนำ” ว่าเป็นการให้ชุมชนเป็นเจ้าของกระบวนการแก้ปัญหา ซึ่งมีที่มาจากการค้นพบว่า “คนที่รู้ปัญหามากที่สุดก็ควรจะเป็นคนในชุมชนที่อยู่ตรงนั้น เขาจะรู้ปัญหาของเขาเองว่าเป็นยังไง ฉะนั้นในกระบวนการทำงาน เราจึงพยายามจะทำให้ชุมชนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของเรื่องนั้นให้ได้”
โครงการได้นำระบบ “เขียว-เหลือง-แดง” มาใช้ เพื่อคัดกรองปัญหาในชุมชน โดยใช้คำใหม่ว่า
- เขียว คือ วางใจ
- เหลือง คือ ห่วงใย
- แดง คือ แก้ไข
สิ่งที่แตกต่างจากการทำงานแบบเดิมคือ ไม่มีแบบฟอร์มตายตัวในการประเมิน แต่ใช้ความรู้สึกของคนในชุมชน ที่มีมนุษยธรรม ความห่วงใย และการตระหนักถึงปัญหาที่ต้องแก้ไข
แก้ “ความไม่ยั่งยืน” ของโครงการพัฒนาดั้งเดิม
ณัฐยา บุญภักดี ได้ถอดรหัสแนวคิดชุมชนนำว่าเป็นการแก้ปัญหาความไม่ยั่งยืนของการทำงานระดับชุมชนแบบเดิม ที่มีลักษณะเป็นโครงการที่ออกแบบจากส่วนกลาง วางแผนโครงการ ออกแบบเครื่องมือ กำหนดแนวปฏิบัติทั้งหมด แล้วจึงหาชุมชนที่อยากทำ
“พอหมดโครงการ เขาก็ไม่ได้อยากจะเอาเครื่องมือที่เราเคยสอนเขาไปทำต่อด้วยตัวเอง อันนี้เจอกันเป็นประจำ” – ณัฐยาเล่า
ในทางตรงกันข้าม แนวคิด “ชุมชนนำ” เชื่อมั่นในสติปัญญาของผู้คนในชุมชน “แม้แต่เครื่องมือก็ไม่ต้องทำให้ ขอให้เชื่อมั่นในสติปัญญาของผู้คนในชุมชน พวกเขาอยู่ร่วมกันมาตั้งนาน เลี้ยงลูกหลานมาตั้งกี่รุ่นแล้ว ย่อมมีทุนเดิมอยู่แน่นอน”
การปรับตัวของหน่วยงานภาครัฐสู่การทำงานแบบมีส่วนร่วม
การเสวนาครั้งนี้มีผู้แทนจากภาครัฐสองหน่วยงานสำคัญ คือ บ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน และกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ที่เล่าถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของตน
บ้านพักเด็กและครอบครัว: จากเชิงรับสู่ความยืดหยุ่น
วราภา สยางกูร ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานบ้านพักเด็กและครอบครัว เล่าว่าแม้บ้านพักเด็กและครอบครัวจะมีทั่วประเทศและทำหน้าที่ช่วยเหลือเด็กในภาวะวิกฤต แต่การทำงานเชิงรับอย่างเดียวไม่เพียงพอกับปัญหาที่ซับซ้อนขึ้น
จากการได้เรียนรู้แนวคิดชุมชนนำ บ้านพักเด็กได้ปรับการทำงานกับศูนย์ชุมชนคุ้มครองเด็กให้มีความยืดหยุ่น “ตอนนี้เราไม่ได้ใช้เกณฑ์ใดๆ ให้บ้านพักเด็กลงไปวัดแบบเดิมแล้ว แต่ให้ชุมชนคิดเองว่าปัญหาของพวกเขาคือปัญหาชุมชน กลุ่มนี้อาจจะเป็นแดง แต่อีกกลุ่มอาจจะเป็นแค่เหลืองก็ได้ เราจะไม่บอกว่าอันนี้คือถูก อันนี้คือผิด ชุมชนต้องรู้ดีกว่าเรา”
กองส่งเสริมสถาบันครอบครัว: ปรับกลไกและพัฒนาคน
นัฎญา วรชินา ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กล่าวว่าแม้จะไม่มีหน่วยงานในพื้นที่โดยตรง แต่มีกลไก “ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน” (ศพค.) ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
หลังจากได้เรียนรู้แนวคิดชุมชนนำ กองฯ วางแผนปรับทิศทางการทำงานของศูนย์พัฒนาครอบครัวให้ใช้แนวคิดนี้มากขึ้น รวมถึงปรับระเบียบการให้เงินอุดหนุนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานรูปแบบนี้ และได้นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับโครงการ “พื้นที่สร้างสรรค์สำหรับครอบครัวในชุมชน” ด้วย
ผลสำเร็จที่เกิดขึ้น
อนุวัฒน์ เล่าว่าการทำงานด้วยแนวคิดชุมชนนำมา 6 ปีกว่า ทำให้เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างตำบลที่ใช้แนวคิดนี้กับตำบลที่ไม่ได้ใช้
“สิ่งที่ชัดขึ้นก็คือว่า เนื่องจากเขามีกลไกกับมีข้อมูล ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวเชื้อสำคัญ ฉะนั้นเวลาเขาเจอปัญหา ก็จะสามารถรู้ว่าต้องไปช่องไหน ทำให้การทำงานแก้ไขปัญหาไวกว่าตำบลที่ไม่เคยหรือไม่มีข้อมูลอยู่ในมือ”
การทำงานแบบนี้ยังทำให้เกิดทีมประจำในชุมชน แทนที่จะพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐเพียงไม่กี่คน ทำให้ชุมชนมองเห็นปัญหาในภาพรวมของครอบครัว ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องเด็ก ส่งผลต่อการดึงผู้คนเข้าสู่ระบบสวัสดิการต่างๆ ได้มากขึ้น
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ
อนุวัฒน์ ยกตัวอย่างกรณีที่น่าสนใจจากตำบลปราสาททนง จังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้หญิงป่วยจิตเวชที่ดูแลลูก ซึ่งชุมชนกังวลว่าลูกไม่ปลอดภัย เดิมทีปัญหานี้แก้ไขแบบวนลูป คือ ส่งแม่ไปรักษา หายดีแล้วกลับมา แล้วก็เกิดปัญหาซ้ำ
แต่ชุมชนคิดแก้ปัญหาใหม่ โดยนำเด็กไปเรียนหนังสือในที่ปลอดภัย และช่วยกันดูแลแม่ไปพร้อมกัน ผลลัพธ์คือ “แม่ที่เป็นจิตเวชได้รับการดูแลอย่างดีจากคนในชุมชน เด็กที่ไปเรียนหนังสือตอนนี้ ชุมชนก็ไปเยี่ยมเรื่อยๆ รู้สึกประทับใจมากเมื่อลูกบอกว่าจะกลับมาดูแลแม่เอง เพราะตอนนี้เด็กสิบแปดปีแล้ว”
จากประสบการณ์นี้ ทำให้เมื่อมีกรณีผู้ป่วยจิตเวชรายใหม่ ป้าที่เคยดูแลเคสแรกกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญโดยธรรมชาติ สามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือได้ทันที
เป้าหมายในอนาคต
ทั้งสามหน่วยงานเห็นพ้องกันว่าจะต้องขยายแนวคิด “ชุมชนนำ” ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายดังนี้:
1. กองส่งเสริมสถาบันครอบครัว: จะนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับศูนย์พัฒนาครอบครัวทั่วประเทศ เริ่มจากสามพันกว่าแห่งที่ยังแอคทีฟอยู่ และปรับระเบียบเงินอุดหนุนให้สอดคล้อง
2. บ้านพักเด็กและครอบครัว: ตั้งเป้าพัฒนาศูนย์ชุมชนคุ้มครองเด็กที่เหลืออีกประมาณ 500 แห่งให้เป็น “นิวบอนด์ที่มีศักยภาพมาตั้งแต่แรก” โดยใช้แนวคิดชุมชนนำ และในปี 2569 จะพัฒนาให้มีศักยภาพเต็มเปี่ยม
3. สสส.: จะสนับสนุนการขับเคลื่อนแนวคิด “เลี้ยงเด็ก 1 คนใช้คนทั้งหมู่บ้าน” ไปสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
บทสรุป: ข้ามจากนโยบายสู่ชุมชน
การบูรณาการทำงานของทั้งสามหน่วยงานนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานด้านเด็กและครอบครัวของประเทศไทย ที่มุ่งเน้นให้ชุมชนเป็นฐานสำคัญในการพัฒนา
ณัฐยา บุญภักดี สรุปได้อย่างชัดเจนว่า “นโยบาย กฎหมาย ระบบ และกลไกที่ส่วนกลางเตรียมเอาไว้ มีอยู่ทั่วประเทศแล้ว แต่สิ่งที่ต้องการก็คือการทำงานเชิงรุก บุกเข้าไปถึงบ้านใต้หลังคาบ้านทุกบ้าน ทีมชุมชนคือคนใกล้ที่สุดที่จะสามารถรุกเข้าไปได้อย่างละมุนละม่อม อย่างอ่อนโยน เพราะว่าเป็นคนในชุมชนเดียวกัน”
ในท้ายที่สุด การดูแลเด็กไม่ใช่หน้าที่ของพ่อแม่หรือหน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาระรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งชุมชน ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กทุกคนในสังคมไทย แม้จะเกิดน้อยลง แต่จะได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และเติบโตเป็นพลังสำคัญของประเทศต่อไป