โชคไม่ช่วย ชีวิตเด็กไทยต้องเปลี่ยนด้วยนโยบาย

             เมื่อโชคไม่ใช่คำตอบของอนาคตเด็กไทย

             แม้เราจะพูดกันเสมอว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” แต่สำหรับเด็กไทยจำนวนมากในปัจจุบัน อนาคตนั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเปราะบางทางสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและครอบครัวที่มีฐานะยากจน ขาดทรัพยากรในการดูแล และอยู่ห่างไกลจากโอกาสการเข้าถึงระบบสนับสนุน

             งานเสวนาสาธารณะภายใต้หัวข้อ “เราอยู่ส่วนไหนในนโยบาย” ซึ่งจัดโดย สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก 4) สสส. ร่วมกับ HOOK Learning พื้นที่เรียนรู้ออนไลน์เพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว   และ คิด for คิดส์ – ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว  สะท้อนภาพความจริงเหล่านี้อย่างชัดเจน ผ่านเสียงของผู้ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ รวมถึงผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศ

             บทความนี้ต้องการสื่อสารถึงผู้กำหนดนโยบายและผู้มีบทบาทในการขับเคลื่อนระบบการดูแลเด็กและครอบครัว เพื่อชวนคิดอย่างจริงจังว่า หากไม่เปลี่ยน “วิธีคิด” และ “โครงสร้างนโยบาย” เด็กไทยส่วนใหญ่จะยังต้องอาศัย “โชคชะตา” มากกว่า “โอกาสที่เท่าเทียม”

 

             โครงสร้างครอบครัวไทยที่เปราะบาง: สะท้อนผ่านชีวิตจริง

             ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก4) สสส. ชี้ว่า เด็กไทยกว่า 70% อยู่ในครัวเรือนที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีเพียงครึ่งเดียวที่ได้อยู่กับพ่อแม่ครบทั้งคู่

             “ในเด็ก 100 คน มีแค่ 50 คนที่อยู่กับพ่อแม่ทั้งสองคน 22% อยู่กับปู่ย่าตายาย 16-17% อยู่กับแม่คนเดียว และ 3% อยู่กับพ่อคนเดียว…เด็กไทยจำนวนมากเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย เพราะพ่อแม่ต้องย้ายถิ่นไปทำงานในเมืองเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว”

             ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ บรรณาธิการบริหาร Mutual เล่าจากประสบการณ์จริงของตนเองในฐานะแม่ว่า เด็กวันนี้เติบโตขึ้นในบริบทที่ไม่มั่นคง จนต้องตั้งคำถามถึงอนาคตของตนเองด้วยความกังวล

             “ลูกส่งมีมมาว่า ‘แม่จะเลี้ยงหนูไปจนตายเลยไม่ได้เหรอ’ ทั้งที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว…มันสะท้อนว่าลูกไม่มั่นใจว่าเขาจะเอาตัวรอดได้ไหมในระบบแบบนี้ แม้จะมีการศึกษาสูงก็ยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่รอดอย่างปลอดภัยได้ไหม”

             เสียงของเด็กสะท้อนถึงสังคมที่ไม่มีหลักประกันพื้นฐานที่ชัดเจน ความไม่มั่นคงนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่คือความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่นโยบายควรเข้ามารองรับ

 

             วิกฤตการศึกษา: เมื่อระบบไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริงของเด็ก

             ครูร่มเกล้า ช้างน้อย ครูชำนาญการจากโรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ สะท้อนประสบการณ์ตรงว่า เด็กในโรงเรียนชนบทจำนวนมากยังคงประสบปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แม้จะอยู่ในระดับมัธยมแล้วก็ตาม

             “เด็ก ม.1 บางคนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้…ส่วน ม.4 อ่านได้ แต่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับเพื่อน เพราะอยู่กับโลกออนไลน์มากจนไม่มีทักษะทางสังคม”

             ระบบการศึกษายังเน้นเนื้อหาและการสอบแบบแข็งทื่อ ขาดการยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เช่น การใช้โจทย์สอบที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือจองตั๋วเครื่องบินสำหรับเด็กในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นเลย

             “เราสอนแบบที่เด็กไม่เข้าใจ เพราะเนื้อหาถูกออกแบบมาจากส่วนกลาง เด็กไม่ได้เห็นภาพชีวิตจริงแบบนั้น แล้วจะให้เรียนรู้ได้อย่างไร”

 

             นโยบายรัฐที่ล้มเหลว: ระบบไม่ยืดหยุ่น ทรัพยากรไม่ถึงมือคนที่ต้องการ

             การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 13 ฉบับ ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวไทยอย่างลึกซึ้ง ครอบครัวขยายลดลง ครอบครัวแหว่งกลางและครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้น แต่ระบบนโยบายยังไม่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้

             “นโยบายสาธารณะวันนี้ยังเป็นแบบ one size fits all ทั้งที่แต่ละพื้นที่มีโจทย์ไม่เหมือนกัน…ชุมชนชายแดนกับเขตเมืองต้องการนโยบายที่ต่างกัน แต่ระบบรัฐไม่สามารถตอบสนองได้”

             โครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแม้มีเป้าหมายที่ดี แต่ยังมีอัตราการตกหล่นสูงมากถึง 30–50% เพราะระบบคัดกรองที่ซับซ้อนเกินไป ไม่สะท้อนความเป็นจริงของครอบครัวเปราะบาง

 

             ถ้าอยากให้เด็กเติบโต ต้องเริ่มจากเปลี่ยนนโยบาย

             กระจายอำนาจการตัดสินใจ

             ครูร่มเกล้าเสนอว่า รัฐควรคืนอำนาจให้กับโรงเรียนและชุมชนในการออกแบบกิจกรรมและหลักสูตรให้เหมาะสมกับเด็กในพื้นที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะขัดกับระเบียบราชการกลาง

             “แค่กิจกรรมชุมนุมง่าย ๆ ถ้าโรงเรียนอยากจัด 5 วันติดกันเพื่อให้เด็กสำรวจความชอบ ก็ต้องไปขออนุญาต ต้องดูว่าทำผิดระเบียบไหม มันไม่ควรเป็นอย่างนี้ ถ้าเราคิดว่าการเรียนรู้ควรยืดหยุ่น”

 

             พัฒนาระบบสนับสนุนชุมชน

             ณัฐยาเล่าถึงชุมชนชายแดนแห่งหนึ่งที่สามารถสร้างระบบการดูแลเด็กโดยไม่ต้องพึ่งแต่ครอบครัว แต่ใช้พลังของชุมชนร่วมกันดูแล “มีทีมรักเด็กที่ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านรวมตัวกันไปเยี่ยมบ้านเด็ก ๆ พูดคุยและให้กำลังใจครอบครัว…จนเกิดวาทกรรมว่า ‘เด็กทุกคนคือลูกของชุมชน'”

             นี่คือรูปธรรมของการกระจายบทบาทการดูแลจากครอบครัวสู่ชุมชน และชุมชนต้องได้รับงบประมาณและการสนับสนุนที่เพียงพอจากรัฐ

 

             ออกแบบนโยบายให้เท่าเทียมและโปร่งใส

             ครูร่มเกล้าเสนอให้มีระบบจัดสรรงบประมาณแบบถ่วงดุล “โรงเรียนที่พัฒนาแล้วควรได้รับงบน้อยลง เพื่อให้โรงเรียนที่ยังขาดแคลนได้งบเพิ่มขึ้นบ้าง เป็นการพัฒนาอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่กระจุกอยู่กับโรงเรียนเดิม ๆ”

 

             สร้างความเข้าใจเรื่องนโยบายในสังคม

             ณัฐยาชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายจะเกิดขึ้นได้ ต้องทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่านโยบายไม่ใช่เรื่องไกลตัว

             “นโยบายสาธารณะไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองหรือราชการเท่านั้น มันกำหนดชีวิตของเราทุกคน ควรเป็นความรู้พื้นฐานที่เด็กทุกคนเรียนรู้ได้ตั้งแต่ในโรงเรียน”

 

             เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนโครงสร้าง เปลี่ยนอนาคต

             หากเราต้องการให้เด็กไทยเติบโตในสังคมที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และมีความหวัง รัฐต้องไม่เพียงทำหน้าที่ “สงเคราะห์” แต่ต้องเปลี่ยน “โครงสร้างนโยบาย” ให้ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และครอบครัวอย่างแท้จริง

“การเตรียมพลเมืองยุคใหม่คือทางรอดของสังคมสูงวัย ถ้าเราไม่เริ่มทำวันนี้ อาจจะไม่ทันแล้ว เหมือนการปลูกป่า ถ้าไม่เริ่มวันนี้ ก็ไม่มีป่าในวันข้างหน้า” — ณัฐยา บุญภักดี

“อย่าหยุดส่งเสียง แม้จะดูเหมือนไม่มีพลัง แต่ถ้าหลายคนรวมกัน เสียงนั้นจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้” — ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

“การศึกษาจะเปลี่ยนได้ ต้องเริ่มจากพื้นที่ ต้องให้โรงเรียนมีอิสระ โรงเรียนรู้ดีที่สุดว่าเด็กของเขาต้องการอะไร” — ร่มเกล้า ช้างน้อย

             การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตเด็กและครอบครัว ไม่อาจรอพึ่งโชคได้อีกต่อไป หากเราไม่เปลี่ยนวันนี้ เด็กอีกหลายล้านคนจะต้องเติบโตภายใต้ระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพวกเขาเลย

Shares:
QR Code :
QR Code