“ร้านเด็กขาย” ตัวอย่างการสร้างสังคมอย่างมีส่วนร่วมโดยเยาวชน
ในภาพยนตร์ Marvel เคยกล่าวไว้ว่า ‘แอสการ์ดไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นผู้คน’ ไม่ต่างจากสังคมที่น่าอยู่ ซึ่งผู้คนในสังคมทุกคนต่างมีส่วนร่วมสร้างโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตเป็นกำลังสำคัญของสังคม
มูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคม (Social Innovation for creative society: SIY) หนึ่งในภาคีที่เข้ามาสนับสนุนเพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ขึ้น ทำงานโดยเน้นการนำนวัตกรรมสังคมเข้ามาขับเคลื่อนร่วมกับสภาเด็กและเยาวชนในพื้นที่
โครงการล่าสุดที่พวกเขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับท้องถิ่น คือ ตำบลต้นแบบส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสภาเด็กและเยาวชน ซึ่งมีอยู่ 18 พื้นที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ตามแนวคิดที่เรียกว่า 6+1 เพื่อสร้างระบบนิเวศทั้ง 6 คือ คณะกรรมการพัฒนาเด็กและเยาวชน (กดยต.), พื้นที่ทำงาน, ต้นทุนชุมชน, ฐานข้อมูลเด็กและเยาวชน, แผนท้องถิ่น และ กองทุนคนรุ่นใหม่ ให้มีความพร้อม แล้วช่วยกันคัดเลือกนวัตกรรมสังคมสร้างการเปลี่ยนแปลง เป็นการ +1 เข้าไป โดยตั้งโจทย์จากสิ่งที่เด็กต้องการทำ แต่ละชุมชนจึงมีนวัตกรรมที่หลากหลายแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ศิลปะลดอุบัติเหตุ การแสดงลิเกยุคใหม่ ไปจนถึงการแข่งขัน E-Sport
หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จในการเข้าไปทำงานของมูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคมคือ สภาเด็กและเยาวชนตำบลเขื่อนผาก จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากเด็กและเยาวชน
รวมไปถึงหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าใจถึงความสำคัญในการผลักดันสังคมสร้างสรรค์ผ่านสภาเด็กและเยาวชน
ร้านเด็กขาย จากพลังความหลากหลาย
เจ้าหน้าที่ของมูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคมเล่าให้ฟังว่า สภาเด็กและเยาวชนตำบลเขื่อนผาก มีสมาชิกประมาณ 20 คน ประกอบด้วยเยาวชนแกนนำกลุ่ม LGBT พากันชวนน้องชั้นมัธยมจนถึงชั้นประถม จึงมีทั้งกลุ่มเยาวชนหญิงที่ต้องการหารายได้ไปช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว และเด็กชายที่ชื่นชอบการแต่งรถเข้ามาร่วม
พวกเขาช่วยกันทำ ร้านสะ-ตอ-รี่ คาเฟ่ ร้านกาแฟเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของคนในชุมชนเขื่อนผาก ใช้ความเป็นเด็กเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อเสนอแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม จนได้ความร่วมมือจากผู้ใหญ่ใจดี
ร้านสะ-ตอ-รี่ คาเฟ่ เกิดจากเสาและสังกะสีมุงผนังเก่าๆ จากเจ้าอาวาส หลังคาจากล้งลำไยในชุมชน ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ได้กองทุนของหน่วยงานท้องถิ่น แล้วร้านกาแฟแห่งนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนสังคมของเยาวชนเขื่อนผาก
ร้านแห่งนี้ ขายผลิตภัณฑ์ที่ตั้งชื่อว่า หอมฉุย ยาดม ซึ่งสภาเด็กฯ ได้นำสูตรยาดมโบราณอันเป็นต้นทุนจากภูมิปัญญาท้องถิ่นมาต่อยอด แล้วทำการตลาดเป็นของชำร่วยในงานต่างๆ จนขายได้มากกว่า 4,000 ขวด ร้านเด็กขาย ยังมีเมนูใหม่ ๆ ออกมาให้อุดหนุนเรื่อยๆ โดยทางท้องถิ่นได้สนับสนุนการทำงานของสภาเด็กและเยาวชน ผ่านการประชาสัมพันธ์ ทางเสียงตามสายเพื่อให้คนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม
เขื่อนผากเป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่น เมื่อสำรวจต้นทุนชุมชนจนพบว่าเด่นเรื่องสมุนไพร เลยไปขอระดมทุน มาทำร้านขายยาดม จนกลายเป็นร้านเด็กขาย แล้วยังชวนผู้ใหญ่มาช่วยฝึกทักษะการซ่อมรถให้กับกลุ่มเด็กที่ชอบแต่งรถ กลายเป็นนวัตกรรมคือ เด็ก (ช่วย) ซ่อม เพื่อนำไปประกอบอาชีพได้ พอมีคนสั่งกาแฟก็ให้เด็กกลุ่มนี้ ไปส่งของสร้างรายได้วันละประมาณ 40-50 บาท
ด้วยความที่แกนนำของสภาเด็กและเยาวชนตำบลเขื่อนผาก เป็นกลุ่ม LGBT ทำให้พวกเขามีความเชื่อในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ รวมไปถึงความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสของทุกคน ไม่แปลกเลยที่ ร้านสะ-ตอ-รี่ คาเฟ่ จะเป็นฐานปฎิบัติการย่อมๆ ในการขับเคลื่อนสังคมของพวกเขา โดยร้านนี้เปิดกว้างสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้ามาใช้บริการอินเทอร์เน็ตฟรีได้ เพื่อเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้เด็กๆ และคนที่ผ่านไปมาได้เข้ามาใช้งาน
ความสำเร็จของสภาเด็กและเยาวชนตำบลเขื่อนผาก ทำให้มูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคม พยายามหาวิธีการเพื่อส่งต่อการดำเนินงานนี้ไปยังตำบลอื่นๆ ซึ่งเป็นความท้าทายจากบริบทที่แตกต่างกันของแต่ละชุมชน
ทำเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำ
ด้วยการออกแบบตั้งแต่วันแรกที่ได้ก้าวเข้าไปในชุมชนว่าจะเดินออกมาอย่างไร โดยพยายามทำให้ชุมชนสามารถโอบอุ้มคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยตัวเอง แล้วเราค่อยถอยออกมา นี่คือแนวคิดของมูลนิธินวัตกรรมสร้างสรรค์สังคม เป็นการทำเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำ เป็นการนำความคิดสร้างสรรค์ช่วยให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิม เช่นที่พวกเขาได้พยายามนำเอานวัตกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างๆ เข้ามาสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน โดยเน้นการปรับความคิดของผู้ใหญ่ให้มองที่ศักยภาพของพวกเขาแทนการมองว่าเป็นตัวปัญหา เพื่อจะได้ส่งเสริมให้เขาได้เติบโตในเส้นทางที่ต้องการ
“เราเห็นพัฒนาการของเขื่อนผาก จากจุดเริ่มต้นเป็นร้านกาแฟ พัฒนามาเป็น learning space สำหรับฝึกทักษะต่างๆ ได้เห็นเด็กช่วยเหลือโอบอุ้มกันและกันด้วยความเข้าใจเหมือนพี่เหมือนน้อง เห็นท้องถิ่นเข้ามาให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ซึ่งตรงกับเป้าหมายในการทำให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมดูแลตัวเองได้อย่างยั่งยืน”
เนื่องจากการทำงานกับเด็กและเยาวชนที่พวกเขามีการเติบโตอยู่ตลอดเวลา การทำให้โครงการฯ สามารถดำเนินไปได้ตลอดจึงจำเป็นต้องสร้างกลไกเพื่อให้ท้องถิ่นสามารถทำงานร่วมกับเด็กแต่ละรุ่นได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งต่อนวัตกรรมสังคมที่เกิดขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งปลายทางของการเป็นตำบลต้นแบบคือ สภาเด็กและเยาวชนสามารถถ่ายทอดให้กับชุมชนอื่นต่อไป โดยใช้เครื่องมือสร้างสรรค์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน สารคดี หรือแม้แต่เกมส์