การค้นพบสิ่งที่หายไปในตัวตนของครูเติ้ล จากการใช้ “ศิลปะด้านในกับเด็กพิเศษ”
หลังจากผ่านการอบรม 4 ครั้ง เพื่อพัฒนาผู้ทำงานด้านเด็กปฐมวัยในโครงการศิลปะด้านในเพื่อพัฒนาสุนทรียภาพสำหรับผู้ทำงานด้านเด็กปฐมวัย (พื้นที่ภาคกลาง) ปริวัตร ส่างหญ้านาง “ครูเติ้ล” ครูศูนย์การศึกษาพิเศษ จังหวัดนครสวรรค์ ได้สะท้อนผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกถึงสิ่งที่ได้รับจากการอบรม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและการพัฒนาตนเอง และการนำความรู้ไปใช้ในการทำงาน
ปริวัตร ส่างหญ้านาง “ครูเติ้ล” เข้ามาสานต่อในโครงการของห้องเรียนพิเศษของหน่วยงานที่มีการใช้แนวทางการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟให้เด็กพิเศษ จากจุดเริ่มต้นห้องเรียนที่ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ เลย ครูค่อยๆ เพิ่มเติมอุปกรณ์ที่จำเป็นขึ้นทีละเล็กละน้อย ผ่านงบประมาณที่จำกัดทั้งของหน่วยงานและปันจากปัจจัยส่วนตัว เป็นการดำเนินงานที่เรียกว่าคลำทางกับความครึ่งๆ กลางๆ ของความรู้และอุปกรณ์ แต่เต็มเปียมด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นครูที่อยากทำให้กับเด็กพิเศษได้เติบโตอย่างงดงาม
เมื่อได้โอกาสมาเรียนรู้ใน โครงการศิลปะด้านในเพื่อพัฒนาสุนทรียภาพสำหรับผู้ทำงานเด็กปฐมวัย ครูเติ้ลได้พบสิ่งที่หายไปทั้งภายในและภายนอกตนเองมากมาย
ปริวัตร ส่างหญ้านาง “ครูเติ้ล” ครูศูนย์การศึกษาพิเศษ จังหวัดนครสวรรค์
ความรู้ที่ตามหา
เมื่อได้เข้าร่วมอบรมในโครงการนี้ ทำให้เขาได้รับชิ้นส่วนที่สำคัญที่ตามหามาตลอดการทำงาน นั่นคือ สิ่งที่ครูจัดให้เด็กๆ ทำนั้น มีที่มาจากอะไร และเด็กจะได้อะไรจากการทำกิจกรรมเหล่านั้น ครูเติ้ลบอกเล่าถึงสิ่งที่ได้รับว่า
“ก่อนที่จะไปอบรม การสอนห้องนี้เป็นแพทเทิร์นที่มีมาอยู่แล้วว่าเราจะสอนอะไร ยังไง แต่เราไม่เคยรู้ว่ามันมีเบื้องหลังยังไง เช่น การระบายสี เราก็ให้ระบาย หรือแม้แต่การร้องเพลง การเล่านิทาน เราไม่รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง การทำงานของผมก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีชีวิต การสอนก็ไม่ค่อยมีชีวิตเท่าไหร่ เหมือนผมก็ทำไปแล้วก็รู้ว่า อ๋อ! พัฒนาการเด็กเป็นอย่างนี้ แต่พอเราไปเข้าคอร์ส ฟังครูมอส แม่อุ้ย หรือครูมัย เหมือนภาพที่เราสอนเด็กมันย้อนกลับมา แล้วมันทำให้เราสามารถอธิบายความหมายว่าภาพที่เราทำ เราทำไปเพราะอะไร เวลาเราระบายสีน้ำ เราระบายสีเพราะอะไร เราให้เด็กใช้ 3 สี เพราะอะไร แล้วทำไมเราถึงต้องใช้สีน้ำ ทำไมเราต้องใช้กระดาษเปียก
แล้วเวลาเรากลับมาทำงาน เราทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น เรารู้ว่าเราจะไปทางไหนมากขึ้น เราจะทำยังไงกับเด็กต่อไปมากขึ้น
เติบโตเต็มภายใน
ครูเติ้ลถ่ายทอดเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงความรู้ที่ได้รับกลับมาเติมเต็มคำถามในใจ มีผลต่อการทำงานที่สอดประสานเชื่อมโยงให้กับเด็กๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ครูเติ้ลยังมีกระบวนการทำงานภายในใจของตนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งผลที่เกิดขึ้นสร้างความชัดเจนกับใจตนเอง แม้ไม่มีใครรับรู้
“ผมก็กลับมาทำงานกับตัวเองภายในของตัวเองมากขึ้น เช่น เมื่อเห็นเด็กระบายสี เขาทำไปส่ายหน้าไป แทนที่ผมจะไปมองว่าทำไมเขาทำแบบนั้น แต่ผมกลับมามองที่ตัวเองก่อนว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงตอนที่ผมเห็นน้องเขาเป็นแบบนี้ คือมันคิดได้ตอนที่ทำเลย แต่ก่อนเราจะไปเพ่งว่าทำไมถึงทำแบบนี้ จุ่มสีก่อนสิ ทำสีเบาๆ เรามุ่งไปที่ความผิดของเด็กอย่างเดียวเลย ผมฟังครูมอสกลับบอกว่าเราต้องทำงานกับตัวเองแล้วต้องดูด้วยว่าตัวเองตอนนั้นรู้สึกยังไง เราถึงจะได้ทำความรู้สึกต่อไปกับเด็กได้ พอผมเห็นภาพของตัวเองเป็นอย่างนั้น ผมย้อนกลับไปภาพหลังๆ แต่ตอนนี้ผมคุยกับตัวเองว่าผมรู้สึกยังไง มันรู้สึกว่าทำไมเด็กเป็นอย่างนี้ ใจมันเต้นนะครับ”
เด็กๆ ได้รับความสุข
ผลของการได้บความรู้ที่ครบกระบวนการ และการทำงานภายในของตนเองของครูเติ้ล ส่งผลให้เด็กๆ ได้พบคุณครูที่สงบมั่นคงในหัวใจ เป็นที่หนทางที่งดงามของการเรียนรู้ และมีความสุข สะท้อนผ่านการพัฒนาขึ้นของเด็กๆ
“ผมรู้สึกว่าเด็กๆ ผ่อนคลายมากขึ้น อย่างเช่น การกินข้าวที่โต๊ะอาหาร บางทีเด็กหยิบอาหารขึ้นมา ครูบางคนอาจจะตัดสินเขาแล้ว ว่าเขากินข้าวไม่เรียบร้อย แต่ถ้าเราคิดย้อนกลับไปอีกที เขาอาจจะกำลังใช้จินตนาการในส่วนนั้นของเขาอยู่ก็ได้ มันเป็นการผ่อนหนักผ่อนเบา
เด็กก็ผ่อนคลายมากขึ้น มีชีวิตมากขึ้น ไม่ได้ถูกบังคับให้กิน ไม่ได้ถูกบังคับให้ร้องเพลง ไม่ได้ถูกบังคับให้ระบายสี เขาผ่อนคลายและมีชีวิตมากขึ้น”
แรงที่ส่งสะท้อน
การได้เข้ารับการอบรมของโครงการนี้ ทำให้ครูเติ้ลมีพลังแรงกายและใจที่จะจัดสรร ดูแล และ ดำเนินงานของตนเองต่อไปอย่างมีพลัง จนคนรอบข้างรับรู้ได้อย่างชัดเจน รวมถึงสามารถเป็นแบบอย่าง ให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นเข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้วย
เรียบเรียงข้อมูลจาก การประเมินโครงการศิลปะด้านใน เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพสำหรับผู้ทำงานด้านเด็กปฐมวัย (พื้นที่ภาคกลาง)